7/6/2018

นักลงทุนหลายท่านคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับคำพูดติดปากของบรรดานักวิเคราะห์การลงทุนทั้งหลายเวลาที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์การลงทุนว่า “เรามีการปรับเป้าดัชนี SET Index เพราะปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน หรือผลตอบแทนในกองทุนรวมในช่วงนี้ดีเป็นเพราะปัจจัยอะไรบ้าง" ซึ่งในหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะกับนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ก็อาจจะงงกันได้ว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านั้นหรือปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนนั้นมันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

 

โลกของการลงทุนในปัจจุบันนี้ประกอบไปด้วยสินทรัพย์ทางการลงทุนหลากหลายชนิด (asset classes) ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ น้ำมัน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น และยังมีหลักทรัพย์ให้เลือกลงทุนมากกว่าล้านหลักทรัพย์ (individual securities) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เรามีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย แต่ในบางครั้งก็ยากสำหรับการทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไป (ปัจจัย หรือ factors) ของผลตอบแทนด้วยเช่นกัน

 

จะว่าไปแล้ว ปัจจัย หรือ factors นั้นถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการลงทุน  เปรียบเสมือนสารอาหาร หรือ nutrients ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ร่างกายต้องการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่เป็นแหล่งของพลังงาน วิตามินและเกลือแร่ ที่ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเราสามารถหาได้จากอาหารหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น นม ขนมปัง เนื้อสัตว์ หรือผัก ผลไม้ต่างๆ แต่สัดส่วนที่ต้องการในแต่ละวันของคนเรานั้นไม่เท่ากัน เพราะร่างกายแต่ละคนนั้นถูกสร้างและใช้งานไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับเรื่องของการลงทุน ปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนนั้นก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถ้าเราเข้าใจปัจจัยต่างๆได้ดีก็จะช่วยให้เราสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมและตรงตามเป้าหมายของเราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติการลงทุนโดยอาศัยปัจจัยนั้นจะมีเป้าหมายหลักๆก็เพื่อ 1. สร้างผลตอบแทนให้ดียิ่งขึ้น 2. ลดความเสี่ยง 3. สร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม นั้นเอง

 

ปัจจัยทางการลงทุนบนโลกนี้ แบ่งได้เป็น 2 เรื่องหลักได้แก่ 1. Macro factors อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปของผลตอบแทนในแต่ละประเภทสินทรัพย์ได้เป็นอย่างดี เช่น หุ้นมักจะมีผลตอบแทนดีในช่วงเศรษฐกิจกำลังเติบโต เป็นต้น 2. Style factors ซึ่งจะช่วยในการอธิบายถึงที่มาของผลตอบแทนในสินทรัพย์นั้นๆได้ดี เช่น Value stocks (หุ้นคุณค่า ซึ่งโดยปกติจะหมายถึงหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน) ในอดีตที่ผ่านมามักจะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนี เป็นต้น ทั้งนี้ style factors อื่นๆที่นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันก็มีอย่างเช่น Momentum, Minimum Volatility, Quality หรือ Size เป็นต้น

 

เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว นักลงทุนจะเข้าถึงการลงทุนโดยอาศัยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร? การลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันนี้ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการลงทุนต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งเห็นข้อมูลที่กว้างและลึกมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตมาก และเรื่องดังกล่าวนี้จะช่วยให้นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนสามารถทำการวิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้น และนั่นจึงเป็นที่มาที่ในช่วงหลังมานี้ บลจ. หลายที่ต่างออกกองทุนที่ใช้การวิเคราะห์โดยอาศัยปัจจัยการลงทุนในมุมต่างๆเพื่อช่วยตอบโจทย์และเป้าหมายการลงทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนนั้นเอง

 

และ style factors ที่เห็นได้ชัดว่าเหมาะกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Minimum Volatility ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนที่จำกั​ดความเสี่ยงขาลงในช่วงที่ตลาดกำลังผันผวนแบบนี้ ซึ่งทาง บลจ.กสิกรไทย ก็มีกองทุนเปิดเค มินิมั่ม โวลาติลิตี้ หุ้นทุน (K-MVEQ) ที่มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่าจะทำให้พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนของผลตอบแทนต่ำที่สุด (Portfolio Optimization with lowest volatility) โดยจะกระจายการลงทุนในหุ้นทุกหมวดอุตสาหกรรมไม่เกิน 25 ตัวและมีน้ำหนักแต่ละตัวไม่เกิน 10% ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้น กองทุน K-MVEQ ก็สามารถควบคุมความผันผวนให้ต่ำกว่าดัชนี SET Index และกองทุนหุ้นไทยทั้งในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลางและเล็กได้เป็นอย่างดี (ดูกราฟ: โดยค่า Standard Deviation ยิ่งน้อยยิ่งดี หมายถึงมีความผันผวนต่ำ) ดังนั้นใครที่กำลังมองหากองทุนที่เหมาะกับตลาดหุ้นที่ผันผวนแบบนี้ก็อย่าลืมกองทุน K-MVEQ กันนะครับ


 ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
จัดทำ ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 โดยนายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)



Yes
7/6/2018
3