ภาพรวมการลงทุน
เดือนที่ผ่านมาตลาดยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในช่วงแรกของเดือน มาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวถึงแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากอัตรา 10% เป็น 25% และในระหว่างเดือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากตุรกี กดดันค่าเงิน LIRA ทำให้อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว
ส่งผลกดดันต่อเนื่องค่าเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศอินเดีย
อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา และบราซิล เป็นต้น ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงแรกของเดือน
เนื่องจากความกังวลด้านอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลงจากสงครามทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่สามารถกลับมายืนเหนือ
USD70/bbl ได้ในช่วงปลายเดือน ภายหลังนักลงทุนคลายความกังวลเนื่องจากสหรัฐฯและเม็กซิโกสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า
โดยในเดือนนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนปรับตัวขึ้นมาทุกตลาด ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ (DXY)
อ่อนค่าลงภายหลังที่สงครามทางการค้ามีท่าทีลดความรุนแรงลง
ประเทศไทย
ในเดือนสิงหาคม
SET Index ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 1.16%
mom นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน
ภายหลังราคาน้ำมันดิบโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่หุ้นค้าปลีกอย่าง CPALL ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องการขยายสาขาในต่างประเทศของบริษัท
MAKRO ซึ่งเป็นบริษัทลูก เป็นปัจจัยกดดันดัชนี
ขณะที่เหตุการณ์สำคัญในเดือนนี้
ได้แก่ GDP ไตรมาสสองออกมาที่ 4.6% yoy
สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 4.4% อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคม
+1.62% จากการเพิ่มขึ้นของหมวดพลังงานเป็นหลัก ทั้งนี้ในเดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ
1.04 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ
1.26 หมื่นล้านบาท ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยโดยสิ้นเดือนปิดที่ระดับ
32.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศอินโดนีเซีย
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวขึ้น 1.38% mom ตามภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิ
106 ล้านเหรียญสหรัฐ
ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลง 2.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครึ่งแรกของปี
2561 ออกมาสูงถึง 2.6% ของ GDP ขณะที่เหตุการณ์สำคัญอื่นในเดือนนี้ ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งประเทศอินโดนีเซียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก
0.25% เป็น 5.5% เงินเฟ้อเดือนสิงหาคมทรงตัว
+3.2% yoy (ในกรอบเป้าหมาย 2.5%-4.5%) ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงต่อเนื่อง
1.3% mom สู่ระดับ 1.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม
ประเทศฟิลิปปินส์
ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปรับตัวขึ้น
2.39% mom โดยตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางประเทศฟิลิปปินส์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
0.5% ในระหว่างเดือนและยังคงท่าทีที่จะขึ้นดอกเบี้ย
(hawkish) ต่อภาวะเงินเฟ้อของประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเหตุการณ์สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ ตัวเลข CPI เดือนกรกฎาคมออกมาที่
5.7% yoy สูงกว่าที่ตลาดคาด ตัวเลขเงินส่งกลับจากแรงงานฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างประเทศเดือนมิถุนายนลดลง
5% yoy นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 89 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงสู่ระดับ
76.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม และค่าเงินเปโซอ่อนค่าลง
0.62% mom ตามภูมิภาค
ประเทศมาเลเซีย
ตลาดหุ้นมาเลเซียในเดือนสิงหาคมปรับตัวขึ้น
1.98% mom ตามภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิลดลงในระหว่างเดือน
(น้อยกว่า 100 ล้านริงกิต) กลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นโดดเด่นภายหลังราคาน้ำมันปรับตัวอยู่ในระดับสูง
ตัวเลขที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ GDP ไตรมาสสองออกมาที่ 4.5%
yoy ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 5.2% ตัวเลข Purchasing
Managers Index (PMI) เดือนกรกฎาคมปรับตัวสูงขึ้นที่ 49.7 ตัวเลข CPI เดือนกรกฎาคม +0.9% yoy ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงสู่ระดับ
1.044 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนสิงหาคม และธนาคารกลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยที่
3.25%
ประเทศเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนามในเดือนสิงหาคมปรับตัวขึ้น
3.47% mom โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
นำโดยหุ้นกลุ่ม Financial และ Utilities ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงจากแรงเทขายทำกำไร นักลงทุนจากต่างชาติยังคงขายสุทธิ
80 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์สำคัญในเดือนนี้
ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคม +3.98% yoy ตัวเลข Purchasing
Managers Index (PMI) เดือนสิงหาคมออกมาที่ 53.7 ลดลงจาก 54.9 ในเดือนก่อนหน้า ค่าเงินเวียดนามด่องอ่อนค่าลงเล็กน้อย
โดยปิดสิ้นเดือนสิงหาคมที่ 23,299 เวียดนามด่องต่อดอลลาร์สหรัฐ
และตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงสู่ระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในเดือนสิงหาคม

มุมมองในอนาคต
กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนเปิดเค อาเซียน อีโคโนมิค คอมมูนิตี้ หุ้นทุน (K-AEC) ในเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนทุกตลาดปรับตัวสูงขึ้น
แต่ด้วยค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท
จึงทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาททั้งของ Benchmark
และกองทุนปรับตัวลดลง โดยในเดือนที่ผ่านมากองทุนมีผลการดำเนินงานต่ำกว่า
Benchmark เนื่องจากกองทุนได้ให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยต่ำกว่า Benchmark ตามนโยบายของกองทุน รวมทั้งหุ้นที่เป็น stock
selection ในประเทศเวียดนามไม่ได้รับอานิสงค์จากการ rebound
ของตลาด โดยในปัจจุบันกองทุนลงทุนในประเทศมาเลเซีย
และฟิลิปปินส์ในสัดส่วนต่ำกว่า Benchmark เนื่องจากความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและแนวโน้มค่าเงินของประเทศฟิลิปปินส์
โดยสำหรับประเทศมาเลเซียคาดการณ์ว่านโยบายการบริหารประเทศของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่น่าจะส่งผลเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมในระยะถัดไป
ทั้งนี้กองทุนมีการลงทุนในประเทศสิงคโปร์และเวียดนาม ที่นอกเหนือจาก Benchmark
สำหรับรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทางกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนมากที่สุด
3 อันดับแรก คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร
และกลุ่มพลังงาน
ปัจจัยที่น่าจับตามอง: ความผันผวนของค่าเงินในภูมิภาคกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
แนวโน้มตัวเลขเงินเฟ้อที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรของแต่ละประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การตอบโต้มาตรการดังกล่าวจากจีน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการลงทุนในระยะถัดไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน เนื่องจากกองทุนไม่ได้อาจไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราเต็มจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ l เนื่องจากกองทุนลงทุนในหุ้นเฉพาะภูมิภาค จึงมีความเสี่ยงและมีราคาผันผวนสูงกว่ากองทุนรวมที่มีการกระจายการลงทุนหลายภูมิภาค l ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน l สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 02-6733888 หรือ
www.kasikornasset.com l ข้อมูลจัดทำ ณ วันที่ 17 กันยายน 2561 โดยฝ่ายจัดการกองทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย