[ ทำไมนักลงทุนไทยถึงหันมาลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น?]
นอกจากผลตอบแทนระยะสั้นของหุ้นโลกดังที่กล่าวไปช่วงต้นแล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี พร้อมด้วย ROE และคุณภาพของกำไรที่สูง บวกกับตลาดหุ้นโลกมีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น เทคโนโลยี, AI หรือ Healthcare ที่เปิดกว้างให้นักลงทุนมากขึ้น รวมถึงช่องทางลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ผลักดันให้นักลงทุนไทยหันมาลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น
สำหรับภาพรวมการลงทุนของนักลงทุนไทยในปัจจุบัน คุณวจนะ กล่าวว่า นักลงทุนไทยมีความรู้ทางการเงินมากขึ้น และพร้อมเปิดรับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม สะท้อนจากพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละประเภทสินทรัพย์
- สินทรัพย์ปลอดภัย (Save Asset)
เม็ดเงินโยกจาก “บัญชีเงินฝาก” เข้าสู่ กองทุนตราสารหนี้ มากขึ้น เนื่องจากกองทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และนักลงทุนเข้าใจเรื่อง Duration ที่ยาวขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า
- กองทุนรวมแบบผสม (Multi-Asset Fund)
กองทุนประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองหาการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
- สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset)
มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน เช่น ประกันสังคม และกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.)
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ อาจจะมีคำถามว่า แล้วควรเลือกลงทุนด้วยตัวเองโดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมดี ?
[ ลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง VS ลงทุนหุ้นผ่านกองทุนรวม ]
แน่นอนว่าการลงทุนตรงในหุ้นรายตัวนั้น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง หากนักลงทุนสามารถเลือกหุ้นได้ “ถูกตัว” และจับจังหวะตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยการศึกษาและทำความเข้าใจบริษัทนั้น ๆ อย่างละเอียด ทั้งการวิเคราะห์งบการเงิน และทำความเข้าใจธุรกิจและสภาพแวดล้อม
และด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนของการลงทุนหุ้นรายตัว ทำให้ “กองทุนรวม” กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ผ่านปัจจัยด้านต่าง ๆ ดังนี้
1.กระจายความเสี่ยง
ลงทุนในหุ้นหลากหลาย 30-50 ตัว หรือมากกว่านั้น รวมถึงมีตราสารหนี้ ช่วยลดความเสี่ยงกระจุกตัวของสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.เข้าถึงสินทรัพย์หลากหลาย
กองทุนรวมมีการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก (ปรับคำในรูปด้วย) ที่ให้เลือกลงทุนได้ตามเป้าหมาย
3.มีมืออาชีพดูแลอย่างใกล้ชิด
กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ คอยติดตามสถานการณ์ตลาด วิเคราะห์ข้อมูล และปรับพอร์ตให้เหมาะสมอยู่เสมอ
KAsset ขอแนะนำกลยุทธ์ “Core-Satellite” เพื่อสร้างสมดุลในทุกสภาวะตลาด โดยแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหลัก (Core Portfolio) และส่วนเสริม (Satellite Portfolio)
เน้นการลงทุนแบบ Multi-Asset เสริมความมั่นคง และช่วยลดความผันผวนของพอร์ต