เพราะหากมองเพียงราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยช่วง 5-6 ปีนี้ โดยเฉลี่ยแล้วให้ Capital Loss ติดลบปีละประมาณ -3%
ทั้งนี้ หากคุณลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ แล้วยังได้ผลตอบแทนเป็นบวก นั่นอาจเป็นเพราะพลังของ "เงินปันผล" ที่ยังคงจ่ายต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 3.2% และกว่า 70% ของผลตอบแทนรวมที่ได้จากตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2019 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2025 มาจากเงินปันผลที่คอยสร้างกระแสเงินสดให้นักลงทุนมีสภาพคล่องมากขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า.. ทำไมกลุ่มหุ้นปันผล หรือ SETHD (SET High Dividend Index) ถึงเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในเวลานี้
จากสถิติ SETHD มี Dividend Yield สูงกว่า SET เกือบ 2 เท่า ประมาณ 7.4% เทียบกับ SET ที่ 4.3% โดยประมาณ ในขณะที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลงอย่างเห็นได้ชัด บางปีราคาหุ้นติดลบ แต่ผลตอบแทนรวมของกลุ่ม SETHD ยังคงเป็นบวก เช่น ในปี 2023–2024
เรียกได้ว่า “หุ้นปันผลสูง” จึงเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ Sideway หรือ Downturn ก็ตามนั่นเอง
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงเห็นประโยชน์จากหุ้นปันผลกันมาบ้างแล้ว และถ้ากำลังมองหากองทุนที่มัดรวมหุ้นปันผลคุณภาพดี ที่มีผลตอบแทนที่มั่นคง ขอแนะนำกองทุน K-VALUE กองทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตเสถียรในช่วงตลาดไม่ Trending
K-VALUE เหมาะกับใคร?
กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ พอร์ตการลงทุนที่มีความเสถียร และเน้นการสร้างผลตอบแทนรวมที่สม่ำเสมอ ผ่านการบริหารจัดการแบบ Active Management โดยมีแนวคิดหลักคือ
1. ลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสูงอย่างยั่งยืน และมีกระแสเงินสดที่มั่นคง
2. เน้นการสร้างรายได้สม่ำเสมอ แม้ในภาวะตลาด Sideway หรือ Downturn
3. ใช้กลยุทธ์แบบ High Dividend กับ Value Style เพื่อเฟ้นหาบริษัทที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่ยังคงให้ปันผลดี
โดยมีเป้าหมายหลักคือ การสร้างผลตอบแทนรวมที่มั่นคงกว่าตลาดโดยรวม ผ่านพลังของเงินปันผล เพื่อให้การลงทุนไม่หยุดนิ่ง แม้ในวันที่ดัชนี SET ไม่ไปไหนก็ตาม