
Highlight :
• DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากจีน เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่มีชื่อว่า R1 ซึ่งเป็นโมเดล reasoning ที่มีประสิทธิภาพสูง เทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดลชั้นนำจากสหรัฐฯ เช่น OpenAI (o1 Model) แต่สามารถพัฒนาได้ใน ต้นทุนที่ต่ำมาก
• KAsset มองว่า แม้ DeepSeek จะสามารถพัฒนาขึ้นมาภายในระยะเวลาที่เร็วกว่า และต้นทุนที่ถูกกว่า ก็ไม่ได้แสดงถึงจุดจบของการลงทุนในเรื่อง AI ของสหรัฐฯ อย่างที่ตลาดกังวลกัน แต่เป็นการเน้นย้ำถึงการพัฒนาโมเดลแบบไม่หยุดและเร่งด่วน เพื่อให้สหรัฐฯ ยังคงก้าวให้ทันในวงการ AI
• ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นเทคสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าอาจจะเจอความผันผวนในระยะสั้น แนะนำใช้โอกาสช่วงที่ตลาดย่อตัว ทยอยสะสม K-GTECH และ K-USXNDQ
ทำความรู้จักกับ DeepSeek
DeepSeek เป็นสตาร์ทอัพ AI จากประเทศจีนที่สร้างกระแสในวงการ AI ทั่วโลก หลังจากเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่มีชื่อว่า R1 ซึ่งเป็นโมเดล reasoning (การให้เหตุผล หรือที่เรียกว่า RL Reinforcement Learning) ที่มีประสิทธิภาพสูง เทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดลชั้นนำจากสหรัฐฯ เช่น OpenAI (o1 Model) แต่สามารถพัฒนาได้ใน ต้นทุนที่ต่ำมาก เพียงประมาณ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 3% ของค่าใช้จ่ายที่ใช้เทรนด์ Open AI)
โมเดลของ DeepSeek ใช้เทคนิคที่ช่วยให้สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นและประหยัดทรัพยากรมากขึ้น นอกจากนี้ DeepSeek ยังอาศัยความได้เปรียบจากการใช้ Open Source Models เช่น PyTorch และ Llama 3 ของ Meta ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและต้นทุนในการพัฒนา
สิ่งที่ทำให้ตลาดค่อนข้างตกใจ เนื่องจาก
1.พัฒนาเร็วและต้นทุนต่ำมาก: หากเปรียบเทียบเรื่องต้นทุน DeepSeek ใช้เวลาเพียง 2 เดือน และต้นทุนประมาณ 6 ล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาโมเดล R1 ในขณะที่ OpenAI การพัฒนาโมเดล GPT-4 ใช้เวลาหลายปี และต้นทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์
2.การแข่งขันใน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ: ความสำเร็จของ DeepSeek แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการแข่งขันกับสหรัฐฯ ในด้าน AI แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เช่น การควบคุมการส่งออกชิป
3.การยอมรับ Open Source Models: ความสำเร็จของ DeepSeek เน้นให้เห็นว่า Open Source เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเร่งการพัฒนานวัตกรรม
ความกังวลดังกล่าวทำให้ตลาด Futures หุ้นเทคฯร่วงลงแรง โดย ณ เวลาประมาณ 16.00 น. (27 ม.ค. 2025) Nasdaq Futures -3%,
Nvidia (Futures) -7%, ASML –8% และหุ้น Data Center อื่นๆ เช่น Schneider Electric –7%
มุมมองและคำแนะนำการลงทุน
ถึงแม้ว่า DeepSeek จะสามารถพัฒนาขึ้นมาภายในระยะเวลาที่เร็วกว่า และต้นทุนที่ถูกกว่า ก็ไม่ได้แสดงถึงจุดจบของการลงทุนในเรื่อง AI ของสหรัฐฯ อย่างที่ตลาดกังวลกัน แต่เป็นการเน้นย้ำถึงการพัฒนาโมเดลแบบไม่หยุดและเร่งด่วน เพื่อให้สหรัฐฯ ยังคงก้าวให้ทันในวงการ AI
ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น จะเป็นประโยชน์กับพวกบริษัทที่เป็นต้นน้ำ ที่สุดท้ายต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมมากขึ้นอยู่ดี การจะพัฒนา Model ของ DeepSeek ยังคงต้องพัฒนาให้เร็วขึ้น ดีขึ้น ซึ่งยังคงลงทุนอีกมาก การพัฒนา AI นี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรม เช่น NVIDIA, Hyperscalers (META, AWS, Microsoft) และบริษัทพลังงานได้ประโยชน์จากความต้องการด้านการประมวลผลและพลังงานที่เพิ่มขึ้น และหากสุดท้ายแล้ว ต้นทุนในการพัฒนา AI ถูกลง ก็ย่อมนำไปสู่การนำมาใช้ที่แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีความต้องการในการลงทุนที่มากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ KAsset คาดว่ากำไรหุ้นสหรัฐฯในปีนี้ จะยังคงเติบโตได้ประมาณ 15% ซึ่งถึงแม้ว่าการเติบโตของหุ้น Mag 7 จะเริ่มเติบโตลดลงจาก 2 ปีก่อนที่ประมาณ 30% แต่ในปีนี้ก็คาดว่าจะยังโตได้มากกว่า 20%
ดังนั้น KAsset จึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นเทคสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าอาจจะเจอความผันผวนในระยะสั้น แนะนำใช้โอกาสช่วงที่ตลาดย่อตัว ทยอยสะสม K-GTECH และ K-USXNDQ
ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2568
คำเตือน : ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com / กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้