9/23/2025

อาหารทะเลทุกวันนี้ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จาก “วิกฤติโลกเดือด”

รู้หรือไม่? อาหารทะเลที่เรากินอยู่ทุกวันนี้มีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อย ๆ จาก “วิกฤติโลกเดือด” 

ปัจจุบัน ประชากรปลาทะเลลดลงประมาณ 90% จากสภาวะโลกเดือดและการประมงเกินขนาด อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นและทำให้แนวปะการังถูกทำลายถึงกว่า 50% 

หลายคนอาจคิดว่าเรื่องนี้ไกลตัว แต่ความจริงแล้วกลับส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานมากกว่าที่คิด ทั้งต่อระบบนิเวศในท้องทะเล อาชีพของชาวประมง ไปจนถึงความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์ทุกคน 

ผลกระทบดังกล่าวจะร้ายแรงแค่ไหน แล้วมนุษย์จะยังมีโอกาสได้กินอาหารทะเลต่อไปได้อีกหรือไม่ วันนี้ KAsset สรุปข้อมูลสำคัญมาไว้ให้แล้ว

Blue Food หรืออาหารสีฟ้า คือชื่อในวงการวิทยาศาสตร์ที่ใช้เรียกอาหารทุกอย่างที่เรากินมาจากแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นปลา กุ้ง หรือสาหร่ายทะเล ซึ่งรวมถึงอาหารทะเลที่จับได้จากธรรมชาติ และอาหารทะเลจากฟาร์ม 
ปัจจุบัน Blue Food ถือเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญต่อผู้คนกว่า 3.3 พันล้านคนทั่วโลก อีกทั้งการที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพึ่งพาอาหารทะเลจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม อาหารทะเลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงภายใต้ภาวะโลกเดือด หรือ Global Boiling ที่ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น

- อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น
ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การย้ายถิ่นของสัตว์น้ำบางชนิดไปยังพื้นที่ที่อุณหภูมิเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อวัฏจักรชีวิตของสัตว์น้ำ เช่น การสืบพันธุ์ และการเจริญเติบโต ซึ่งอาจทำให้สัตว์น้ำมีจำนวนลดลงได้

- ทะเลเป็นกรด
น้ำทะเลเป็นกรดเกิดจากการที่มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยเฉพาะสัตว์ที่มีโครงกระดูกหรือเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง หอย และปะการัง ทำให้สัตว์กลุ่มนี้ไม่สามารถสร้างโครงสร้างเปลือกภายนอกให้แข็งแรงได้

- ปะการังฟอกขาว
อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล ทำให้ระบบนิเวศเสียความสมดุล เพราะปะการังคือที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ทะเลจำนวนมาก 

- ทรัพยากรประมงลดลง 
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางทะเล เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ความเป็นกรดในทะเลเพิ่มขึ้น และการสูญเสียแนวปะการัง ส่งผลให้ประชากรสัตว์น้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำให้ชาวประมงจับปลาได้น้อยลง

ESG-Sep-2025.jpg

นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์กรระดับโลกเข้ามามีบทบาทสำคัญ ตัวอย่างเช่น 

Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) 
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO คือหน่วยงานเฉพาะทางขององค์การสหประชาชาติที่มีเป้าหมายในการบรรลุความมั่นคงทางอาหารสำหรับทุกคน และสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงอย่างเพียงพอ 

โดยหนึ่งในโครงการสำคัญที่ FAO ขับเคลื่อนก็คือ “Blue Transformation” ที่มุ่งยกระดับระบบอาหารทางน้ำทั้งจากการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ให้มีความยั่งยืน ครอบคลุม และยืดหยุ่นมากขึ้น 

Marine Stewardship Council (MSC) 
เป็นองค์กรอิสระไม่แสวงหาผลกำไร มีภารกิจหลักในการกำหนดมาตรฐานสำหรับการประมงที่ยั่งยืนทั่วโลก 

รวมถึงส่งเสริมและรับรองการประมงที่มีการจัดการอย่างดี โดยจะมีการมอบ MSC Label ให้กับสินค้าอาหารทะเลจากแหล่งประมงที่ผ่านมาตรฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้านั้นมาจากแหล่งประมงที่มีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน 

และในฐานะนักลงทุน แม้จะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ เราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เช่นกัน ด้วยการลงทุนในกองทุน ESG ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ​​โดย KAsset แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 

▪️ 𝐊-𝐄𝐒𝐆𝐒𝐈-𝐓𝐡𝐚𝐢𝐄𝐒𝐆 
เน้นลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐเพื่อความยั่งยืน ความเสี่ยงต่ำ เพิ่มโอกาสทำกำไรระยะยาว 

▪️ 𝐊-𝐁𝐋𝟑𝟎-𝐓𝐡𝐚𝐢𝐄𝐒𝐆
ลงทุนผสมเน้นตราสารหนี้ไทย ด้วยกลยุทธ์ Positive Screening และหุ้นไทยเน้น SET ESG Ratings ระดับ AAA 

▪️ 𝐊-𝐓𝐍𝐙-𝐓𝐡𝐚𝐢𝐄𝐒𝐆
เน้นลงทุนหุ้นไทยที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Target Net Zero) 


ที่มา: บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 23 กันยายน 2025​

คำเตือน : กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​




Yes
9/23/2025
0
situation