11/20/2025

กองทุนผสมผันผวนได้หรือไม่ ...แล้วต้องลงทุนอย่างไร ให้ผันผวนน้อยที่สุด?​

Key Highlight :
• อะไร? คือสาเหตุของความผันผวนตลาด ในรอบนี้
• เกิด AI ฟองสบู่แล้ว แล้วหรือยัง?
• Valuation ตลาดหุ้นตอนนี้ “แพงเกินไป” หรือไม่?
• ในมุมของนักลงทุนที่ลงทุน 'กองทุนผสม' ควรทำอย่างไร?
- ควรรักษาวินัยการลงทุนระยะยาว
- ใช้ประโยชน์จากการปรับฐานในการทยอยสะสม
- เน้นการกระจายความเสี่ยงผ่านพอร์ต K-WealthPLUS Series
- ผสานเป้าหมายลงทุนกับการวางแผนภาษี

ประเด็นที่ 1 : อะไร? ทำให้ตลาดการลงทุน ผันผวน ในช่วงนี้ 
หลังจากตลาดโลกปรับขึ้นแรงต่อเนื่องมาหลายเดือน ช่วงปลายตุลาคม–พฤศจิกายน ตลาดเริ่มแกว่งแรงและย่อลง โดยทีมจัดการกองทุนมองว่าส่วนผสมหลัก ๆ มีอยู่ 3 เรื่อง

1.1) ความกังวลเรื่อง AI และ CAPEX ก้อนใหญ่
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Meta ประกาศแผนลงทุน (CAPEX) ด้าน AI และศูนย์ข้อมูล (Data Center) มหาศาล ตัวเลขรวมของ AI CAPEX ที่นักวิเคราะห์ประเมินสำหรับปี 2025 ถูกปรับขึ้นจากระดับราว 2.5 แสนล้านดอลลาร์ เป็นมากกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่นาน ซึ่งสุดท้ายคำถามที่นักลงทุนหลายคนเริ่มถามคือ “ลงทุนเยอะขนาดนี้ จะคุ้มไหม? รายได้จะตามมาทันหรือเปล่า?” พอความไม่แน่ใจเพิ่มขึ้น เวลาเจอข่าวลบหรือคำแนะนำขายจากโบรกเกอร์ ก็ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้เหวี่ยงแรงกว่าปกติ

1.2) คำว่า “ฟองสบู่” เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
แบบสำรวจความเห็นผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนสถาบันเริ่มสะท้อนมุมมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI มีความเสี่ยงด้านมูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อคำว่า “Bubble” เริ่มถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งขึ้น บรรยากาศการลงทุนจึงเปลี่ยนจาก “เชื่อมั่นเต็มที่” ไปสู่ “ระมัดระวัง” มากขึ้น ทำให้การตอบสนองต่อข่าวลบหรือการปรับลดคำแนะนำจากนักวิเคราะห์มีความรุนแรงขึ้นกว่าปกติ

1.3) ความกังวลเรื่อง Valuation ที่สูง และความไม่แน่นอนของทิศทางอัตราดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เข้าสู่ไตรมาส 4 ด้วยระดับ P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ตลาดยังต้องติดตามเส้นทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างใกล้ชิด การขยับของคาดการณ์ “จำนวนครั้งและจังหวะการปรับลดดอกเบี้ย” ส่งผลโดยตรงต่อการตีมูลค่าหุ้นเติบโตระยะยาว รวมถึงหุ้นกลุ่ม AI

กล่าวโดยสรุป ความผันผวนในรอบนี้เกิดจาก “ระดับความคาดหวังและมูลค่าที่สะท้อนไปล่วงหน้าแล้วมากพอสมควร” ปะทะกับ “ความไม่แน่นอนต่ออนาคต” แต่ไม่ได้สะท้อนสัญญาณของความเสียหายเชิงโครงสร้างในระบบการเงิน

ประเด็นที่ 2 : เกิด AI ฟองสบู่แล้ว แล้วหรือยัง?
ในการประเมินว่าการลงทุนด้าน AI เข้าขั้นฟองสบู่หรือไม่ เราใช้กรอบคิดของลักษณะฟองสบู่ที่ผ่านมาเป็นจุดเปรียบเทียบ คือ

• มีการลงทุนในฝั่ง Supply จำนวนมาก
• แต่ Demand จริงไม่เติบโตตาม ทำให้เกิดภาวะล้นตลาด
• การลงทุนส่วนใหญ่พึ่งพาหนี้สิน เมื่อรายได้ไม่เป็นไปตามคาด บริษัทจะเผชิญปัญหาทั้งกำลังการผลิตล้นและภาระหนี้สูง

ในมุมมองของเรา ภาพของ AI ในปัจจุบันยังไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว โดยพิจารณาจากสองมิติหลัก

2.1) การลงทุนที่มี Demand รองรับ (ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า)
การขยายกำลังการให้บริการ AI และ Cloud ของ Hyperscalers ปัจจุบันมีพื้นฐานมาจาก ยอดจองใช้บริการเชิงพาณิชย์ (Commercial Bookings) ที่เติบโตในอัตราสูง และยอดคงค้างสัญญารายได้ (Backlog / RPO) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยขอยกตัวอย่าง 2 บริษัทดังต่อไปนี้

• Microsoft รายงานว่า ยอดจองใช้บริการเชิงพาณิชย์ (Commercial Bookings) โตมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากดีล Azure และ AI ขนาดใหญ่ระยะยาว

• Google Cloud เปิดเผยตัวเลข Backlog / Remaining Performance Obligation (RPO) เป็นตัวเลข 55 แสนล้านดอลลาร์ และยังเติบโต 46% เทียบไตรมาสก่อนและ 82% เทียบปีก่อน

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากไม่ได้เกิดจากการ “สร้างศูนย์ข้อมูลแล้วค่อยหาลูกค้า” แต่เป็นการลงทุนเพื่อรองรับสัญญาและข้อตกลงกับลูกค้าที่มีอยู่แล้วในมือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว

2.2) โครงสร้างเงินทุน พึ่งพากระแสเงินสดภายใน มากกว่าหนี้สิน
ผู้เล่นหลักในระบบนิเวศ AI เช่น Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Nvidia มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

• มีสถานะเป็น “เน็ตเงินสด” หรือมีเงินสดสุทธิหลังหักภาระหนี้ในระดับสูง
• มีกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ต่อปีเพียงพอที่จะรองรับแผน CAPEX ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งด้วยแผนการลงทุนล่าสุดจะมีสัดส่วน CAPEX ต่อ Free Cash Flow อยู่ที่ระดับ 40-60%

ในภาพรวม การลงทุนในรอบนี้จึงเป็นการใช้กำไรและกระแสเงินสดที่ธุรกิจสร้างได้ มากกว่าการเพิ่ม Leverage เพื่อไปลงทุนต่อ

ดังนั้น ทีมจัดการกองทุนยังคงประเมินว่า AI ยังอยู่ในช่วงต้น–กลางของวัฏจักรการลงทุนเชิงโครงสร้าง (Secular Cycle) มากกว่าจะเป็นช่วงท้ายของฟองสบู่

ประเด็นที่ 3 : Valuation ตลาดหุ้นตอนนี้ “แพงเกินไป” หรือไม่?
การพิจารณาเพียงอัตราส่วน P/E เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10–15 ปี ทำให้ตลาดหุ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ดู “แพง” เนื่องจากอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม วิธีการมองเช่นนี้มีข้อจำกัดในเรื่องของการไม่ได้คำนึงถึงโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไป โครงสร้างตลาดหุ้นวันนี้ไม่เหมือนเมื่อ 10–15 ปีก่อน สัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, แพลตฟอร์ม, ธุรกิจทรัพย์สินน้อยแต่กำไรสูง (Asset-Light) เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจทุนหนา กำไรบาง (เช่น บางกลุ่มพลังงาน/วัตถุดิบ) มีสัดส่วนลดลง

ผลที่ตามมาคือ ระดับผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้น ROE เฉลี่ย ของตลาดพัฒนาแล้วหลายแห่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สหรัฐฯ ปรับขึ้นจาก 15% เป็น 19% ยุโรป ปรับขึ้นจาก 10% เป็น 13% และญี่ปุ่น ปรับขึ้นจาก 8% เป็น 9%) สะท้อนถึงวินัยด้านการใช้เงินทุนและการคืนเงินให้ผู้ถือหุ้นมากขึ้น

ฉะนั้น ถ้าเรายังใช้ “P/E วันนี้” ไปเทียบกับ “P/E เมื่อสิบปีก่อน” ก็เหมือนเอาราคารถสมัยนี้ไปเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนโดยไม่ดูว่ารถวันนี้แรงขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีเทคโนโลยีมากขึ้น แล้วสรุปว่า “แพงกว่าเดิม” อย่างเดียว

ดังนั้นการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาในมิติที่ละเอียดขึ้น เช่น
• P/E เทียบกับการเติบโตของกำไร (Earnings Growth)
• P/B เทียบกับ ROE หรือการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยข้อมูลปัจจุบันสะท้อนว่า ราคาตลาดหุ้น ณ ปัจจุบันถูกกว่าเมื่อตอนต้นปี 2025

• ณ ปัจจุบัน P/E ratio ตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 19x ในขณะที่ Forward Earning Growth อยู่ที่ 13% (เมื่อต้นปี 2025 P/E ratio ตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 21x ในขณะที่ Forward Earning Growth อยู่ที่ 9%)
• ณ ปัจจุบัน P/B ratio ตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 3.2x ในขณะที่ Forward ROE อยู่ที่ 16% (เมื่อต้นปี 2025 P/B ratio ตลาดหุ้นโลกอยู่ที่ 3.5x ในขณะที่ Forward ROE อยู่ที่ 15%)

หรือกล่าวโดยสรุปคือ หากนักลงทุนมีการเข้าลงทุนในปัจจุบัน นักลงทุนจะจ่าย “P/E ต่อ 1 หน่วยของการเติบโตของกำไร” ที่ถูกกว่าเมื่อตอนต้นปี 2025

ประเด็นที่ 4 : ในมุมของนักลงทุนที่ลงทุน 'กองทุนผสม' ควรทำอย่างไร?
เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดร่วมกัน เราสรุปมุมมองหลักได้ดังนี้
• ความผันผวนรอบนี้เกิดจากการปรับตัวเข้าสู่ “สมดุลใหม่” หลังจากราคาหุ้นกลุ่มผู้นำ โดยเฉพาะด้าน AI ปรับขึ้นมามากในระยะหนึ่ง
• การลงทุนด้าน AI ยังมีลักษณะของวัฏจักรเชิงโครงสร้างระยะยาว ไม่ใช่ฟองสบู่เชิงหนี้สินเช่นในอดีต
• มูลค่าตลาดในมิติเชิงโครงสร้าง เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรและ ROE ยังอยู่ในกรอบที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาว

ดังนั้นการย่อตัวรอบนี้ แม้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจในระยะสั้นแต่ในระยะยาวถือเป็นการพักฐานที่เป็น “โอกาส” มากกว่าจะเป็น “ภัย”
ฉะนั้นภายใต้กรอบดังกล่าว ข้อความสำคัญที่เราอยากสื่อ สำหรับนักลงทุน K-WealthPLUS Series คือ

4.1) ควรรักษาวินัยการลงทุนระยะยาว
การตอบสนองต่อความผันผวนระยะสั้นด้วยการลดความเสี่ยงอย่างรุนแรงมักทำให้พลาดโอกาสการฟื้นตัวในภายหลัง สำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายระยะกลางถึงยาว การคงสัดส่วนการลงทุนตามแผนที่วางไว้ หรือทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐาน มักสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าการพยายาม “จับจังหวะตลาด” อย่างต่อเนื่อง

4.2) ใช้ประโยชน์จากการปรับฐานในการทยอยสะสม
เมื่อ “ราคาต่อการเติบโต” และ “ราคาต่อ ROE” มีความน่าสนใจมากขึ้นหลังการปรับฐาน เรามองว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับการทยอยเพิ่มน้ำหนักในกรอบที่รับความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะผ่านกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม

4.3) เน้นการกระจายความเสี่ยงผ่านพอร์ต K-WealthPLUS Series
กองทุนในกลุ่ม K-WealthPLUS Series ได้รับการออกแบบให้
• กระจายการลงทุนในหุ้นโลก รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน AI และผู้ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
• ลงทุนในตราสารหนี้และสินทรัพย์อื่นเพื่อช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนในภาพรวม
• ปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างยืดหยุ่นตามสภาวะตลาดและมุมมองเชิงกลยุทธ์ของทีมจัดการลงทุน

การลงทุนผ่านกองทุนลักษณะนี้ช่วยให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากธีมการเติบโตเชิงโครงสร้าง โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวหรือ sector ใด sector หนึ่งด้วยตนเอง

4.4) ผสานเป้าหมายลงทุนกับการวางแผนภาษี
สำหรับนักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ด้านภาษีควบคู่กับการลงทุนระยะยาว กองทุนกลุ่ม K-WealthPLUS Series RMF เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสม เนื่องจาก
• เปิดโอกาสให้เข้าถึงธีมการเติบโตระยะยาวเช่นเดียวกับกองทุนในกลุ่ม K-WealthPLUS Series
• พร้อมทั้งสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดได้ในเวลาเดียวกัน

K-WPBALRMF
กองทุนผสมเน้นตราสารหนี้ % หุ้นต่อตราสารหนี้โดยประมาณ 30:70
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ

K-WPSPEEDRMF
กองทุนผสมเพิ่มสัดส่วนหุ้นมากขึ้น % หุ้นต่อตราสารหนี้โดยประมาณ 65:35
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง

K-WPULTIRMF
กองทุนผสมเน้นหุ้นเป็นหลัก % หุ้นต่อตราสารหนี้โดยประมาณ 85:15
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง

ที่มา: บลจ.กสิกรไทย 

ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2025​

คำเตือน : กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​

taxsaving, กองทุนลดหย่อนภาษี, ลดหย่อนภาษี, กองทุนภาษี, rmf, thaiesg, kasset, kbank, kplus, ซื้อกองทุนลดหย่อน, ลดหย่อนภาษีปี 2568


Yes
11/20/2025
0
situation