การตื่นตัวของกระแสรักษ์โลก
ก่อให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป
ธุรกิจที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการ ที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนให้แก่ลูกค้าได้ จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคง และแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น
บริษัทที่เน้นความยั่งยืน (Sustainable Investment) ตามแนวคิด ESG
มีโอกาสเติบโตอย่างมหาศาล
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้โลกน่าอยู่ ผ่านการลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตสูงทั่วโลก
ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบวกต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change Fund - Class B accumulation (GBP)
K-CHANGE-A(A)
ดัชนีชี้วัด
• ข้อมูล ณ วันที่ 10 ม.ค. 2567 • ดัชนีชี้วัด MSCI ACWI Gross Total Return USD • กองทุนจัดตั้งเมื่อ 16 พ.ค. 62 • ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันอนาคต
ความครอบคลุมทางสังคม และโอกาสทางการศึกษา
ผู้นำการผลิตชิ้นส่วนสำคัญให้แก่อุตสาหกรรม
Semiconductor ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยี
การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต
บริษัทผู้พัฒนาและผลิตเครื่องวัดกลูโคสในกระแสเลือด (CGM) สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถวัดผลได้ตลอดเวลาช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
บริษัทผู้นำด้านการผลิตเครื่องจักรการเกษตร
รายใหญ่สัญชาติอเมริกา ลดการใช้สารเคมี ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง
ทำให้ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค
การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
ผู้ให้บริการ Microfinance ที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการออมเงิน การกู้ยืม การทำประกัน
เพื่อให้เห็นผลลัพธ์จากการลงทุนที่ชัดเจน กองทุนหลักมีส่วนช่วยลดทรัพยากร ดังนี้
ที่มา: Impact Report ปี 2565 จัดทำโดย Baillie Gifford
บริษัทจัดการลงทุนสัญชาติสก็อตแลนด์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 100 ปี ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1908 มีความโดดเด่นในการลงทุนในหุ้นที่มี อัตราการเติบโตสูง ด้วยทีมนักวิเคราะห์หุ้นกว่า 100 คน ที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายแขนงทั้งด้านการเงิน การแพทย์ วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ โดยทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทที่น่าสนใจกว่า 1,000 บริษัททั่วโลก
ผู้จัดการกองทุนหลักจะบริหารภายใต้แนวคิด Long Term Growth โดยพิจารณาจากธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งหากเป็นธุรกิจใหม่จะพิจารณาจากการเติบโตของยอดขาย (Sale Growth) ในขณะที่ธุรกิจที่มั่นคงกว่าจะพิจารณาจากการเติบโตของกำไรในระยะยาว
(Earning Growth)
สำหรับกองทุน Ballie Gifford Positive Change ปัจจุบันเน้น 4 ธีมการลงทุนหลัก ได้แก่ 1. ความครอบคลุมทางสังคมและโอกาสทางการศึกษา 2. ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม 3. การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต 4. การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
โดยมีเป้าหมายคือ คัดสรรหุ้นที่เติบโตสูง มีรายได้ขยายตัวโดดเด่น กระแสเงินสดดี ลงทุนวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และที่สำคัญคือต้องสามารถสร้างผลบวก (Positive Impact) ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวได้
แนวคิด ESG คือ การพิจารณาปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental) ปัจจัยสังคม (Social) และปัจจัยการบริหารจัดการ (Governance) เพื่อให้การลงทุนและการปฏิบัติกิจการมีความยั่งยืนและเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยนักลงทุนเพื่อความยั่งยืนจะมองหาบริษัทที่ปฏิบัติตามค่านิยมและมาตรการด้าน ESG ในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง
แม้ในปี 2566 ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่ม Growth ซึ่งเป็นลักษณะของหุ้นที่กองทุนหลักเน้นลงทุน จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ดี เราคาดว่าหุ้นกลุ่ม Growth ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากภาพการลงทุนในปี 2567 นี้ที่ Fed จะเข้าสู่การดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย และมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตในระยะยาวยังดี และเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
ผู้บริโภคหรือภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นในด้านสิ่งแวดล้อม (E) สังคม (S) หรือธรรมาภิบาล (G) มากขึ้น ดังนั้นธุรกิจที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการ สามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนให้แก่ลูกค้าได้ จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคง และแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยด้าน ESG ยังสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และประหยัดทรัพยากร ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มอัตราการทำกำไรของบริษัทได้
การลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนจึงควรตั้งเป้าหมายการลงทุนอย่างน้อย 5 ปี เนื่องการลงทุนในระยะสั้นมีโอกาสเห็นการขาดทุนได้สูงจากปัจจัยลบต่างๆ ขณะที่การลงทุนในระยะยาวจะเปิดโอกาสให้ราคาสามารถสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจได้เต็มที่ จึงช่วยลดโอกาสขาดทุนจากการลงทุนได้
ภาวะตลาดในปัจจุบันมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นการจับจังหวะตลาดเพื่อเข้าลงทุนด้วยการดูหุ้นรายตัวจึงทำได้ยาก และมีโอกาสที่จะขาดทุนอยู่สูง อย่างไรก็ดี แนะนำให้ลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ด้วยวิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average: DCA) เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากความผันผวน
สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมได้เองทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องไปสาขา โดยเตรียมเลขที่บัญชีออมทรัพย์ และข้อมูลตามบัตรประชาชนให้เรียบร้อย
สำหรับผู้ที่มีบัญชีกองทุนรวมอยู่แล้ว กดซื้อได้เลยง่ายๆ ผ่านแอป K PLUS หรือ K-My Funds และช่องทางออนไลน์ที่ K-Cyber Invest หรือที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา