ลงทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มี
ศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เน้นใน 4 ธีม ได้แก่ 1.ยา 2.เทคโนโลยีชีวภาพ 3.เทคโนโลยีทางการแพทย์ 4.บริการด้านสุขภาพ
สังคมวัยสูงอายุทั่วโลกมีแนวโน้ม
เพิ่มสูงขึ้น
และนวัตกรรมใหม่ๆ ความก้าวหน้าทางวิทยาการ
และเทคโนโลยี รวมถึงความต้องการด้านสุขภาพ
ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมากด้วย
ประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 23 ปี
มีความเชี่ยวชาญในหุ้นกลุ่มสุขภาพ
(ที่มา: J.P. Morgan Asset Management
พ.ย. 66)
K-GHEALTH
ดัชนีชี้วัด
• ข้อมูล ณ วันที่ 10 ม.ค. 67 • ดัชนีชี้วัด MSCI World Healthcare Index (Total Return Net) • กองทุนจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 57 • ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันอนาคต
หุ้นกลุ่มสุขภาพประกอบด้วยอุตสาหกรรมย่อยที่มีลักษณะเป็นหุ้น Defensive และ Growth
ภาพรวมการลงทุนในกลุ่มสุขภาพในระยะยาวยังน่าสนใจ จากความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่สนับสนุนนวัตกรรมด้านสุขภาพ และความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยผู้บริโภคยอมจ่ายหากมีหลักฐานว่านวัตกรรมนั้นๆ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจริง และกองทุนหลักยังเน้นลงทุนในหุ้นที่มีนวัตกรรมการรักษาใหม่หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในระยะกลาง ตลาดมองว่า Fed จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ช่วยลดแรงกดดันในแง่ Valuation ให้กับ Sub-sector บางกลุ่ม เช่น Biotech ซึ่งคิดเป็นกลุ่มที่กองทุนหลักให้น้ำหนักมากกว่าดัชนีชี้วัดค่อนข้างมาก
ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองในสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้งเดือนพ.ย. 2567 หลายครั้งการควบคุมราคายาและบริการด้านการแพทย์มักจะถูกนำมาเป็นนโยบายหาเสียง ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการควบคุมราคายาหรือบริการด้านการแพทย์ จูงใจให้บริษัทคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมากขึ้น อย่างไรก็ดี ตอนนี้นโยบายหาเสียงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทสุขภาพเป็นประเด็นที่ต้องจับตา
การลงทุนในหุ้นสุขภาพ จัดเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงเรื่องการกระจุกตัวในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ควรกระจายการเงินลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์, ภูมิภาค และอุตสาหกรรม ตามความเสี่ยงที่รับได้ด้วย โดยตามพอร์ตแนะนำ Core-Satellite ณ เดือน ม.ค. 2567 สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะนำให้ลงทุน K-GHEALTH ไม่เกิน 5% ของพอร์ต
กองทุนหลักลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เน้น 4 ธีมการลงทุนหลัก
ทั้งสองกองทุนลงทุนในกองทุนหลักเดียวกัน คือ JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A (acc) – USD แตกต่างกันที่นโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดย K-GHEALTH ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ ส่วน K-GHEALTH(UH) ไม่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลกแต่อยากลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนควรเลือกลงทุนกองทุน K-GHEALTH ที่มีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมได้เองทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องไปสาขา โดยเตรียมเลขที่บัญชีออมทรัพย์ และข้อมูลตามบัตรประชาชนให้เรียบร้อย
สำหรับผู้ที่มีบัญชีกองทุนรวมอยู่แล้ว กดซื้อได้เลยง่ายๆ ผ่านแอป K PLUS หรือ K-My Funds และช่องทางออนไลน์ที่ K-Cyber Invest หรือที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา
K PLUS และ K-My Funds สามารถทำรายการซื้อ-ขาย กองทุนรวมของ กองทุนรวมของ KAsset ได้ทั้ง 2 แอปพลิเคชัน
K-My Funds เป็นแอปพลิเคชันเกี่ยวกับกองทุนรวมโดยเฉพาะ ดังนั้นจะมีข้อมูลและฟังก์ชันเชิงลึกมากกว่า เช่น พอร์ตการลงทุนแนะนำตามความเสี่ยง การแจ้งเตือนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับกองทุนที่ถืออยู่ และการปรับพอร์ตลงทุน พร้อมทั้งยังมี โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี และ การแสดงยอดเงินลงทุนกองทุน RMF/SSF/LTF รายปี เป็นต้น
K PLUS ช่วยรวบรวมข้อมูลการลงทุนของคุณใน app เดียว ทั้งเงินฝาก กองทุน และหุ้น และยังมีฟังก์ชันช่วยวางแผนการลงทุนผ่าน Wealth Plus บริการช่วยวางแผนการลงทุนส่วนตัว โดยจะช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุน ช่วยเลือกกองทุนที่พิจารณาแล้วว่ามีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี มีโอกาสทำกำไร และมีความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของแผนการลงทุนที่เลือก ทั้งยังคอยดูแลแผนการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายตลอดเวลาอีกด้วย
• กองทุน K-GHEALTH ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกัน
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
• การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจมีราคาผันผวนตามสภาวะตลาดและค่าเงิน
• ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
• สนใจลงทุนและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.kasikornasset.com