11/12/2021

​ส่องตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลังนายกรัฐมนตรีคนที่ 100 เข้ารับตำแหน่ง

​เป็นที่ชัดเจนแล้วหลังผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่นในวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมานี้ ซึ่งมีนายฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 100 ของแดนอาทิตย์อุทัย นำพรรคเสรีประชาธิปไตยหรือพรรค LDP (Liberal Democrat Party) ประกาศชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งผู้สมัครจากพรรค LDP ยังคงครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่างได้อีกสมัย ทำให้พรรค LDP ครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภาในญี่ปุ่น โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นทั้งดัชนี Nikkei 225 และ TOPIX ต่างตอบรับเชิงบวกขานรับชัยชนะ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น


ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดแทบไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหน ดัชนี Nikkei 225 บวกได้เพียง 2% ถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นหลัก ก่อนที่จะกลับมาปรับตัวได้ดี โดยบวกขึ้นกว่า 13% ในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ แต่ก็เจอความผันผวนในระยะถัดมาโดยเฉพาะช่วงก่อนการเลือกตั้ง ปัจจัยหนุนการไปต่อของตลาดหุ้นที่เรามองเห็นมีอะไรบ้าง

  

ปัจจัยแรก ความชัดเจนทางด้านการเมืองที่มีนายฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้นำพรรค LDP เป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่มีจุดยืนด้านนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารกลางญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถสานต่อมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างไม่สะดุด อีกทั้งรัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง อาทิเช่น Digital Transformation และ Digital Infrastructure ในชนบท, การให้เงินช่วยเหลือภาคครัวเรือน, แผน GoTo Travel Campaign 2.0 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ, การสนับสนุนการลงทุนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศ เช่น Semiconductor, High-tech Industries, Supply Chain, Clean Energy และ Biotech, งบประมาณกว่า 2 ล้านล้านเยนเพื่อแจกเงิน 100,000 เยน (ราว 3 หมื่นบาท) ให้กับครอบครัวที่มีลูกอายุไม่เกิน 18 ปี เป็นต้น ซึ่งคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะมีมูลค่าอาจสูงถึง 30 ล้านล้านเยนจากเดิมที่ 10 ล้านล้านเยน โดยมาตรการบางส่วนคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาภายในเดือนธันวาคม 64 นี้


สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่ดีขึ้นมากทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี โดยอัตราการฉีดวัคซีนเร่งตัวขึ้นอย่างมาก จำนวนผู้ที่ได้รับฉีดครบโดสแล้วกว่า 70% ของประชากร มากกว่าสหรัฐฯแม้ว่าจะเริ่มต้นช้ากว่ามากก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่ระดับต่ำมากเพียงประมาณร้อยกว่าคนเท่านั้น  โดยการที่ญี่ปุ่นยกเลิกภาวะฉุกเฉินได้ตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ สามารถกลับมาดำเนินได้ทั้งการเดินทางภายในประเทศ และการจัดงานขนาดใหญ่ คาดว่าการบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้ หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลดีต่อทิศทางการบริโภคในอนาคต นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลดีต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นด้วย โดยสะท้อนจากตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7


ด้านนโยบายทางการเงิน ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงมุมมองเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้ไม่มีประเด็นความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยเหมือนประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อีกทั้งทิศทางการปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ผลการดำเนินงานอย่างฉับพลัน (Earnings Revision)  ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงเป็นขาขึ้น ขณะที่สหรัฐฯและยุโรปคาดว่า Earnings ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยระดับราคาหุ้นของตลาดญี่ปุ่นยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯและยุโรป ตั้งแต่ต้นปียังตามหลังตลาดอื่น ๆ (laggard) ปรับขึ้นมาเพียง 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯเท่านั้น* จึงคาดว่าจะเห็นการกลับมาของตลาดหุ้นญี่ปุ่นรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะเติบโตได้สูงขึ้นในปี 2565


สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดกับ 2 กองทุนที่จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตในอนาคตอย่างกองทุน K-JP ลงทุนในกองทุนหลัก SISF Japanese Equity มีกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่จำกัดขนาดหุ้นที่ลงทุน จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นขนาดกลางและเล็ก เน้นหุ้นที่มีราคาถูก และมีการเติบโต ทั้งนี้ การกลับมาเปิดเมืองของญี่ปุ่นจะส่งผลดีต่อหุ้นขนาดเล็กและกลาง เนื่องจากได้รับประโยชน์โดยตรงจากการบริโภคที่ฟื้นตัว ซึ่งผู้จัดการกองทุนหลักมีธีมการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคการบริโภคที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยผลการดำเนินงานของกองทุน K-JP ตั้งแต่ต้นปีและ 1 ปี อยู่ในระดับ Top Quartile อย่างสม่ำเสมอ** และกองทุน K-JPX ลงทุนในกองทุนหลัก NEXT FUNDS TOPIX ETF ที่ลงทุนหุ้นญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ตามดัชนี TOPIX


*ดัชนี NIKKEI 225 +7.5% ดัชนี S&P 500 +26% (ตั้งแต่ต้นปีถึง 8 พ.ย. 2564)

**ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 5 พ.ย. 2564



Yes
11/12/2021