หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าปี
2562 จะเป็นปีสุดท้ายของการซื้อกองทุน LTF
(Long Term Equity Fund) เพื่อลดหย่อนภาษี ส่วนปี
2563 เป็นต้นไปจะมีกองทุนรูปแบบใหม่มาทดแทนหรือไม่
ยังต้องติดตามแนวทางใหม่กันต่อไป ดังนั้น
ปีนี้สิทธิในการลงทุน LTF เพื่อลดหย่อนภาษียังคงมีอยู่
อย่าโฟกัสนโยบายใหม่มากจนลืมใช้สิทธิปีนี้กันเลย แม้จะเหลือเวลาอีก 3 เดือน แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีข้อข้องใจที่ทำให้บางคนไม่แน่ใจกับการซื้อ LTF
เราขออาสาตอบปัญหาคลายข้อสงสัยต่างๆ
พร้อมแชร์ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการลงทุนใน LTF ปีสุดท้าย ถ้าอยากลงทุนแบบไม่มีข้อข้องใจ
ก็ตามไปดูพร้อมกันเลย! #KAsset #คำตอบที่ใช่ของการลงทุน
ซื้อ LTF ทิ้งทวนปีสุดท้ายดีไหม
มีหลายคนที่เข้าใจผิดว่าหลังจากปี
2562 เป็นต้นไป กองทุนรวม LTF กว่า 90 กองที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทยจะปิดตัวลง
บ้างก็เข้าใจว่า LTF จะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนรูปแบบไปใหม่ทั้งหมด แต่ความจริงแล้ว
LTF ไม่ได้หายไปไหน ยังคงมีอยู่ต่อไป
และเงินทั้งหมดของนักลงทุนก็ยังถูกบริหารอย่างดีที่สุดโดยผู้จัดการกองทุน เพื่อทำผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอยู่เหมือนเดิม ส่วนการเปลี่ยนเป็นกองทุนรูปแบบใหม่ทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่าสุดท้ายแล้วจะมีนโยบายการลงทุนและสิทธิในการลดหย่อนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแค่ไหน หมายความว่าเรายังซื้อ
LTF ในปีสุดท้ายและถือครองต่อไปได้อีกตามต้องการ
โดยไม่ต้องกังวลว่ากองทุนจะเปลี่ยนประเภท หรือถูกปิดตัวลง
ข้อดีของการซื้อ LTF ปีสุดท้าย
นักลงทุนหลายคนเลือกซื้อ
LTF เพราะทราบดีว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว
รวมถึงได้สิทธิในการลดหย่อนภาษีอีกด้วย
>> ในอนาคตหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนได้อีก
หากนักลงทุนตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว
การรอจังหวะเพื่อซื้อครั้งเดียวในเดือนธันวาคม อาจจะทำให้พลาดโอกาสได้ สิ่งที่เราต้องคิดต่อ
คือ ระยะเวลาที่เหลือไม่กี่เดือนนี้ เราได้ลงทุนในกองทุน LTF เต็มสิทธิแล้วหรือยัง โดยอาจจะใช้วิธีทยอยซื้อตั้งแต่วันนี้เพื่อเฉลี่ยต้นทุนก็ได้
ลองคำนวณดูว่าจำนวนที่เหมาะสมกับการลงทุนและสิทธิในการลดหย่อนภาษีของเราเป็นเท่าไหร่
จากนั้นหาร 3 ตามระยะเวลาที่เหลือ 3 เดือนสุดท้าย
แล้วลงทุนเป็นเงินก้อนแต่ละเดือนไปเลย
>> นอกจากนี้การซื้อ
LTF ในปีสุดท้าย
ยังเป็นการลงทุนที่มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยเราก็ได้สิทธิในการลดหย่อนภาษีถึง 15% ของรายได้และไม่เกิน 500,000 บาทเหมือนเดิม
เพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่ากองทุนใหม่จะเป็นรูปแบบไหน
NAV ของ LTF
จะลดลงหรือไม่ อนาคต LTF จะเป็นอย่างไร?
หลายคนกลัวว่าหลังจากปี
2562 กองทุน LTF ทั้งหมดจะถูกเทขายทิ้ง
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด! เพราะหลังจากปี
2562 เป็นต้นไป คนที่ถือครอง LTF
ครบ 7 ปีปฏิทินมีแนวโน้มที่จะทยอยขายเพื่อนำเงินลงทุนกลับไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
ทำให้มีคนกังวลว่าการถูกขายออก จะทำให้ราคา NAV ต่อหน่วยของกองทุนลดลง แต่ในความเป็นจริง
NAV จะถูกคำนวณด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม
หารด้วยจำนวนหน่วยทั้งหมดของกองทุนรวม หากมีความต้องการขายจำนวนหนึ่งเกิดขึ้น
หน่วยลงทุนของกองทุนนั้นก็จะลดลงในสัดส่วนเท่ากัน ทำให้ขนาดของกองทุนรวมเล็กลงเท่านั้น หากมีการขายออกจึงส่งผลกระทบกับขนาดของกองทุนเท่านั้น
ซึ่งไม่ได้กระทบกับผลการดำเนินงานของกองทุน ส่วน NAV ของ LTF และผลการดำเนินงานในอนาคต
ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของทีมผู้จัดการกองทุนว่าจะบริหารกองทุน ให้สร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอได้อย่างไร
ส่งท้ายทั้งที ซื้อ LTF ดีๆ ต้องดูที่อะไร
นักลงทุนที่รู้สึกว่า
LTF ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
ทั้งเรื่องการลงทุนและสิทธิในการลดหย่อน อาจจะตัดสินใจซื้อ LTF ให้เต็มสิทธิเพื่อส่งท้ายนโยบาย เรื่องสำคัญที่นักลงทุนต้องดูก่อนตัดสินใจคือ การคัดเลือกหุ้นที่ลงทุน
และ รูปแบบผลตอบแทนที่ต้องการ แม้ว่า
LTF ทุกกองจะลงทุนในหุ้นมากกว่า 65%
เหมือนกัน แต่ลักษณะของหุ้นแต่ละตัว และแต่ละอุตสาหกรรม
จะไม่เหมือนกัน นักลงทุนจึงต้องพิจารณา นโยบายการคัดเลือกหุ้นของกองทุนด้วยว่าเหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าปีสุดท้ายที่จะซื้อ
LTF นี้ควรจะซื้อแบบมีเงินปันผลหรือไม่มีเงินปันผลดีกว่ากัน ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกันตรงที่ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้จะถูกจ่ายออกมาเป็นรายได้ประจำให้กับผู้ลงทุนในลักษณะเงินปันผล
หรือจะถูกสะสมเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนให้เติบโตต่อไป (เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ
ที่จ่าย 10%)
เนื่องจาก
LTF เป็นการลงทุนระยะยาว
แนวทางการตัดสินใจในเรื่องนี้ ก็ต้องพิจารณาว่าเงินที่จะใช้ซื้อ LTF ปีสุดท้ายนักลงทุนเองต้องการผลตอบแทนรูปแบบไหน
สภาพตลาดกับการเลือกซื้อ LTF
สภาวะตลาดหุ้นไทยก็เป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการเลือกลงทุน
LTF เช่นกัน โดยปัจจุบัน
ตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกไม่ว่าจะเป็น
(1)
ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังคงมีความยืดเยื้อ
(2)
ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ
(3)
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เกิด
Inverted Yield Curve
สะท้อนโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ทยอยประกาศใช้
จะช่วยรองรับความผันผวนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ โดยระยะสั้นคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,640 – 1,690 จุด
ซึ่งในระยะยาวตลาดหุ้นไทยมีภาพรวมเป็นบวก
มีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
รวมถึงสภาพคล่องจากทั่วโลกที่ยังให้ความสนใจมาที่ตลาดหุ้นไทย ทำให้ตลาดหุ้นยังน่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโต
เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว ดังนั้น การลงทุนใน LTF จึงเป็นตัวเลือกเหมาะสมและสามารถทยอยเข้าลงทุนได้ในปี 2562
KDLTF กองทุนหุ้นใหญ่ปันผลสูงจาก
KAsset
หากนักลงทุนตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อ
LTF เพื่อลงทุนให้เต็มสิทธิในปีนี้ KDLTF กองทุนหุ้นใหญ่ปันผลสูงจากบลจ.
กสิกรไทย (KAsset) นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ชั้นนำที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ภายนอก ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ผันผวนรุนแรงตามสภาพตลาดหุ้น การถือหุ้นใหญ่พื้นฐานดีจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตลงทุนในระยะยาวได้ในทุกสภาวะตลาดอีกด้วย
KDLTF ดียังไง
KDLTF เป็นกองทุน
LTF ขายดีอันดับหนึ่งที่มีการจ่ายปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุน
LTF อื่นๆ ของ KAsset โดยมีสถิติการจ่ายปันผลมาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 24 ครั้ง
รวมเป็นเงิน 10.37 บาท หรือมีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย (Average Dividend Yield) ประมาณ 4% ต่อปีตลอดช่วง
5 ปีที่ผ่านมา (กองทุนจัดตั้ง ณ วันที่ 19 ต.ค.2547)
ถ้าอยากได้ผลตอบแทนจากเงินปันผล
และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจาก LTF ไม่ควรพลาดกองทุน KDLTF ด้วยประการทั้งปวง สามารถทยอยซื้อได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงสิ้นปีเพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ซื้อง่ายได้หลากหลายช่องทาง
ใครที่สนใจลงทุนกับกองทุน
KDLTF ของ KAsset
สามารถลงทุนได้ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 500 บาทผ่านแอป K-My Funds, K PLUS, ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset
Contact Center 0-2673-3888 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/2IlUCUW
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า
เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลภาษีในคู่มือก่อนตัดสินใจลงทุน • ผลการดำเนินงานในอดีต
มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต • เงินปันผลจะถูกหักภาษี
ณ ที่จ่าย 10% หรือสามารถเลือกให้ไม่หัก ณ ที่จ่ายก็ได้
แต่จะต้องนำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้สิ้นปี