"ประเด็นข่าว Silicon Valley Bank (SVB) ถูกรัฐบาลสหรัฐฯสั่งปิดและเข้าควบคุมกิจการเนื่องจากขาดสภาพคล่อง ทำให้กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นธนาคารของสหรัฐฯ ปรับตัวลง และส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาของผู้ลงทุน"
ทั้งนี้ อาจทำให้หุ้นของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย จะกระทบบ้างแต่ไม่น่ากังวล เพราะเป็นการปรับตัวลงชั่วคราวระยะสั้น อย่างไรก็ดี ในภาพรวมหน่วยงานทางการของสหรัฐฯ ยังสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้ และคาดว่าจะไม่เกิดการลุกลามไปยังภาคธนาคารและส่วนอื่น
สำหรับสาเหตุที่ SVB ถูกสั่งปิดชั่วคราว ไม่ได้เกิดจาก NPL (Non-Performing Loan หรือ หนี้เสีย) หรือ แต่มาจากปัญหาจากกลุ่ม Venture Capital และ Startup ซึ่งเป็นลูกค้าหลักจำนวนมากออกมาถอนเงิน หลังประสบปัญหาการระดมทุน จนส่งผลให้ SVB มีปัญหาด้านสภาพคล่อง จนต้องขายสินทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ออกมา
แต่จากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ราคาตลาดตราสารหนี้ที่เคยซื้อมาเดิมปรับลดลง ทำให้ SVB ขายตราสารหนี้ในราคาต่ำกว่าทุนอย่างมีนัยยะ จนประสบผลขาดทุนทันทีราว 6.24 หมื่นล้านบาท จากการจำหน่ายสินทรัพย์แบบเร่งด่วน (หรือ Fire Sale Loss) และนำไปสู่การขายหุ้นเพิ่มทุน 2.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การประกาศเพิ่มทุนทำให้ผู้ฝากเงินตกใจ อีกทั้ง Founders Fund มีการแนะนำให้ Venture Capital ต่าง ๆ ให้ถอนเงินออกจาก SVB อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ SVB เผชิญกับปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงและนำไปสู่ปัญหาในปัจจุบัน
ล่าสุด (13 มี.ค. 66) Fed ประกาศจัดตั้ง "Bank Term Funding Program" (BTFP) เพื่อปกป้องสถาบันการเงินอื่นๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากกรณีของ SVB ซึ่งช่วยลดความกังวลของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้คาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และจะไม่เกิดการลุกลามไปยังภาคธนาคารและส่วนอื่น
ผลกระทบต่อกองทุน :
บลจ.กสิกรไทย ไม่มีการลงทุนตรงใน SVB แต่มีการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนหลัก โดยมีสัดส่วนการลงทุนที่ต่ำมาก (ไม่เกิน 0.01%) ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น
มุมมองการลงทุน :
KAsset ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะยังคงมีความผันผวนและได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อภาคธนาคารของสหรัฐฯ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะเข้ามาดูแลปัญหาของ SVB อย่างรวดเร็ว แต่ต้องติดตามต่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ KAsset ประเมินว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่ลุกลามและอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากธนาคารของสหรัฐฯส่วนใหญ่ได้ปรับตัวหลังเกิดวิกฤตในปี 2551 จึงมีฐานทุนและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งมาก
คำแนะนำการลงทุน :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : แนะนำให้ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์
ตลาดหุ้นโลก : แนะเลือกภูมิภาคในการลงทุน ปัจจุบันแนะนำ กองทุนหุ้นจีน และเอเชีย
ตลาดหุ้นไทย : สามารถลงทุนเพิ่มได้
ตลาดหุ้นเวียดนาม : หากลงทุนแล้ว สามารถถือต่อไปได้
อสังหาริมทรัพย์ (REIT) : แนะนำให้ชะลอการลงทุน