ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงกว่า 20% ในช่วงปีที่ผ่านมา จากการออกกฎระเบียบของรัฐบาลจีน เพื่อควบคุมธุรกิจ, นโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ทำให้เกิดการขาดแคลนไฟฟ้า และปัญหาหนี้สินของบริษัทภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด
ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นจีน คือ จีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และ Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย ปัจจัยเสี่ยง คือ ปัญหาหนี้สินบริษัทภาคอสังหาริมทรัพย์ และอัตราเงินเฟ้อที่เกี่ยวกับต้นทุนการผลิต หากอยู่ระดับสูง จะกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้
บลจ.กสิกรไทย แนะนำ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเล็กน้อย ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาว แนะนำให้ถือลงทุนต่อ และทยอยลงทุนเพิ่มได้ สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้นเป็นรอบๆได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นจีน เข้าลงทุนได้ โดยให้น้ำหนักการลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงด้วย
ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง ทำให้ Valuation อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย ยังมีปัจจัยเสี่ยงอะไรอีกบ้าง มาสรุปทิศทาง “กองทุนหุ้นจีน" ลงทุนตอนนี้ดีไหม? จาก KAsset LIVE : CHINA FUNDS CHECK UP ปีขาล จับทิศทางกองทุนหุ้นจีน เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา

Q1: เกิดอะไรขึ้นกับ “ตลาดหุ้นจีน" ในช่วงปีที่ผ่านมา?
หุ้นจีนปี 2021 ปรับตัวลงหนักโดย MSCI China 10/40 Net ผลตอบแทน -20% (กองทุน JMP China ผลตอบแทน -19.6%) ทิศทางการลงทุนที่เปลี่ยนจากหุ้นเติบโต (Growth) เป็นหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นวัฎจักร โดยปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นจีน มาจากการดำเนินนโยบายในหลายเรื่องซึ่งมี 3 ประเด็นที่สำคัญคือ
- การออกกฎระเบียบจำนวนมากของรัฐบาลจีน เพื่อควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี - การศึกษา และนโยบาย Zero Covid กดดันการบริโภค
- นโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ส่งผลให้อุตสาหกรรม เกิดการขาดแคลนไฟฟ้า
- ปัญหาหนี้สินของบริษัทภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
แต่จากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเริ่มมีท่าทีชะลอตัว รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สะสางปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ไม่เกิดผลกระทบในวงกว้าง ผ่อนคลายนโยบายทางการคลังพร้อมลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบช่วยเหลือผู้บริโภคและธุรกิจ SME
Q2: “ตลาดหุ้นจีน" ปีเสือทอง = โอกาสทอง?
“ตลาดหุ้นจีน" ปี 2021 คือ “ปีฟุบ" แต่ ปี 2022 คือ “ปีฟื้นตัว" โดยเหตุผลสนับสนุนตลาดหุ้นจีนคือ
นโยบายทางการเงินยังคงผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มสภาพคล่องในระบบ สวนทางกับหลายประเทศที่เริ่มเข้าสู่ช่วงของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดสภาพคล่องในระบบ
รัฐบาลจีนส่งสัญญาณ “พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว" และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเม็ดเงินลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูงและเศรษฐกิจสีเขียว
Valuation ของตลาดหุ้นจีนอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตและตลาดหุ้นอื่นๆ
แรงกดดันเรื่องเรื่องกฎระเบียบลดลง เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการควบคุมไปหลายระลอก และตลาดได้รับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว
Q3: “ตลาดหุ้นจีน" ในมุมมองกองทุนหลัก JPMorgan
JPMorgan ระบุว่าปัจจุบันคือยุค New Normal หรือ “ยุคการเปลี่ยนแปลงเพื่อความมั่นคงในระยะยาวของจีน" ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยอาจเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำลงกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่าจีนจะสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
“กองทุนหลัก JPMorgan Funds-China Fund (JPM China)"
เน้นบริหารพอร์ตการลงทุนแบบเชิงรุก ลงทุนระยะยาว และเน้นคัดเลือกหุ้นรายตัว
เน้นลงทุนหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่มีคุณสมบัติร่วมคือ เป็นหุ้นเติบโต (Growth) คุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy)
ให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน การคัดเลือกหุ้นรายตัว และการวิจัยที่ครอบคลุม
เน้นหุ้น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเทคโนโลยี (ซอฟต์แวร์ หุ่นยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์), กลุ่ม Carbon Neutrality (รถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์) และกลุ่ม Consumption (สินค้าคุณภาพดี และสินค้าเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์)
Q4/2021 มีการปรับพอร์ตหลังเศรษฐกิจผ่านจุดสูงสุด ดังนี้
- เน้นลงทุนหุ้นกลุ่ม Quality Growth พร้อม Overweight หุ้นกลุ่ม Internet ที่เผชิญแรงขายอย่างหนัก และคาดว่าเป็นกลุ่มแรกที่สามารถฟื้นตัวได้
- เพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่ม Consumer Staple ที่ราคาลดลงมากมาก, กลุ่มเกม ที่มีการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ (ไม่ใช่ผู้พัฒนาอสังหาฯ) เช่น ธุรกิจตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฯลฯ
ความเสี่ยงของ “ตลาดหุ้นจีน" ที่ต้องจับตา
ในปี 2022 มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นจีนดังนี้
การใช้นโยบาย Zero Covid ที่กระทบต่อการบริโภคในประเทศ และการระบาดระลอกใหม่อาจส่งผลให้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มคลี่คลายกลับมารุนแรงขึ้นได้
ปัญหาหนี้ในภาคอสังริมทรัพย์ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการแก้ไขปัญหา และอาจกระทบในวงกว้าง ส่งผลให้ยอดขายและการลงทุนหดตัว ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวของกับต้นทุนการผลิต หากอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จะกดดันการดำเนินนโยบายการเงินและกำไรของบริษัทจดทะเบียน
อาจมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงเปราะบาง กระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน
Q4: คำแนะนำสำหรับนักลงทุน “ไปต่อ" หรือ “พักก่อน"?
หากพิจารณาจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา พบว่า ตั้งแต่ปี 2001 ดัชนี MSCI China มีการปรับฐานลงลึกกว่า 20% รวม 4 ครั้ง และ “ดัชนีมักฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากระดับต่ำสุดเสมอ" ขณะที่ในปี 2021 ดัชนีย่อตัวราว 30% ซึ่งคาดว่าเป็นจุดต่ำสุดของรอบนี้ และจะทยอยเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2022 นี้
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นจีน : เข้าลงทุนได้ โดยให้น้ำหนักการลงทุนเหมาะกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ มีการกระจายการลงทุนกองทุนหุ้นจีนบางส่วน
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น : สามารถลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้นเป็นรอบๆได้ เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปีตลาดโลกและตลาดจีนยังคงมีความผันผวนทำให้มีโอกาสในการทำกำไรระยะสั้นได้
สำหรับนักลงทุนระยะยาว : แนะนำให้ถือลงทุนต่อ และทยอยลงทุนเพิ่มได้โดยให้น้ำหนักการลงทุนเหมาะกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ มีการกระจายการลงทุนโดยอาจให้น้ำหนักในจีนมากกว่าปกติเล็กน้อย เพราะเป็นตลาดที่มีพื้นฐานดี Valuation อยู่ในระดับเหมาะสม และรัฐบาลจีนดำเนินนโยบายผ่อนคลายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดี โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่างประเทศจีน ควรที่จะ
1. ลงทุนระยะยาว 3 ปีขึ้นไป
เพราะการลงทุนในจีนให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว แต่ระยะสั้นมีความผันผวนสูง และมีโอกาสขาดทุนสูงในบางช่วง
2. แบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายในการลงทุน กระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แนะนำให้แบ่งเงินมาลงทุนบางส่วนตามความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เดียว 100% ของพอร์ต
พึงตระหนักไว้เสมอว่า การลงทุนหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ ในปัจจุบัน มีความผันผวนสูงและคาดเดาได้ยากขึ้น สำหรับผู้ลงทุนที่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงในตลาดกลุ่มนี้เป็นอย่างดี หุ้นจีน ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ การลงทุนภายหลังสภาวะราคาตกลงอย่างมากเช่นนี้ถือเป็นเรื่องท้าทาย นักลงทุนมือเก๋า หรือมือใหม่ ขอให้ตัดสินใจด้วยความรอบคอบและติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
บทความโดย คุณพีรกานต์ ศรีสุข, CFA