สาเหตุที่กองทุนตราสารหนี้ติดลบในช่วงที่ผ่านมา
แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเปลี่ยนมามีท่าทีดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อชะลอความร้อนแรงของเงินเฟ้อนี้เอง กดดันให้ Bond Yield ทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยยะตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของไทยปรับตัวขึ้นจาก 1.9% ณ สิ้นปี 2564 มาที่ 2.21% ณ 15 กุมภาพันธ์ 2565 (ถ้าดอกเบี้ยปรับขึ้น ราคาจะปรับตัวลง เคลื่อนไหวทิศทางตรงกันข้าม)
ความผันผวนของกองทุนตราสารหนี้ไทยในระยะนี้ จึงเป็นผลกระทบทางอ้อม ด้าน Market Risk จากเหตุการณ์ที่ Bond Yield สหรัฐฯที่ปรับขึ้นเป็นหลัก แต่ภาพรวมด้าน Credit Risk ตลาดตราสารหนี้ไทยยังอยู่ในระดับต่ำ Credit Spread ทยอยปรับลดลงจากปีก่อนและคาดมีแนวโน้มทรงตัวในระยะข้างหน้า อีกทั้งอัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลงจากผลของเศรษฐกิจที่ค่อยๆกลับมาฟื้นตัว
“KAsset จึงยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อกองทุนตราสารหนี้ ที่มีน้ำหนักในหุ้นกู้ในประเทศจากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว"
มุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ ก่อน Fed ขึ้นดอกเบี้ย มี.ค.
เศรษฐกิจไทยพร้อมรับมือหรือไม่?
กระทบกองทุนที่ท่านถืออยู่หรือไม่?
...วันนี้ KAsset มีคำตอบ !!
#Fed #กองทุนรวม #ตราสารหนี้
#KAsset #รางวัล #บลจยอดเยี่ยมจากMorningstar #บลจยอดเยี่ยมSETAwards #คำตอบที่ใช่ของการลงทุน #เรื่องกองทุนคุณเชื่อได้
โพสต์โดย KAsset เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2022
มุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ จากผู้จัดการกองทุน
คำถาม : อัตราดอกเบี้ยไทยมีทิศทางขาขึ้นเหมือนของสหรัฐฯหรือไม่?
คำตอบ : ทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทยต่างจากของโลก และคาดว่าธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อทั้งปีน่าจะอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของธปท.ที่ 1-3% และเศรษฐกิจอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยปีหน้ากว่าจะกลับมาฟิ้นตัวใกล้เคียงระดับก่อนเกิดโควิด-19
KAsset มองว่าความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศจะสูงกว่าของในประเทศ เนื่องจากไทยยังไม่มีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ทำให้ธปท.ต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย
คำถาม : Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ผู้จัดการกองทุน มีแนวทางการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร?
คำตอบ : กองทุนฯ มีการลด Duration ของพอร์ตบางส่วน
โดยผู้จัดการกองทุนฯ ทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกู้ เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกในภาพรวมต่อเครดิตไทยที่คุณภาพดี และมองว่าในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่อายุไม่ยาวเป็นทางเลือกลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด และยังรักษาน้ำหนักพันธบัตรเพื่อใช้เป็นสภาพคล่อง
คำถาม : ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตาหลังจากนี้ ?
คำตอบ : จับตาการดำเนินนโยบายแบบตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งนี้ มองว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นอาจมีได้จาก Global Sentiment
ในอดีตที่ผ่านมาหากมีการเริ่มวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยแล้วความผันผวนของตลาดตราสารหนี้โลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความชัดเจนของนโยบายทางการเงินที่มีมากขึ้น
รวมทั้ง ปัจจัยอื่นๆ เช่น สถานการณ์ความไม่สงบรัสเซีย-ยูเครน แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่นักลงทุนต้องจับตาด้วย
คำถาม : มุมมองต่อกองทุนตราสารหนี้ในอีก 6 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า เป็นเช่นไร?
คำตอบ : จากทิศทางนโยบายการเงินไทยที่ต่างจากของโลก สนับสนุนให้การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย (Yield) ในปีนี้จะอยู่ในกรอบแคบ
คาดผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนตราสารหนี้ในปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยยะ เนื่องจากเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ปรับตัวขึ้นมาจากปี 2564 มามากแล้ว
คำถาม : คำแนะนำการลงทุน? สำหรับกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง/ยาว เช่น K-FIXEDPLUS
คำตอบ:นักลงทุนสามาถถือต่อไปได้ โดยคาดว่าราคา NAV จะสามารถกลับมาฟื้นตัว
และสามารถสับเปลี่ยนบางส่วนไปลงทุนในกองทุน
K-CBOND
เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวน เนื่องจาก K-CBOND ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศและเน้นลงทุนในหุ้นกู้ ที่ KAsset มีมุมมองบวกต่อเครดิตไทยที่มีคุณภาพดี
บทความโดย ฝ่ายกลยุทธิ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565