
ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วง กังวลเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนี ISM Manufacturing ซึ่งเป็นดัชนีภาคการผลิตที่สำคัญของสหรัฐฯของเดือนส.ค. แม้จะปรับตัวขึ้นจากเดือนก.ค. แต่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ อยู่ที่ระดับ 47.2 และอยู่ในแดนหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พากันปรับตัวลงแรงจากข่าวดังกล่าว ดัชนี S&P500 -2.12% และดัชนี Nasdaq -3.26% (3 ก.ย. 2567) ทั้งนี้ ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า เดือนก.ย. มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงมากที่สุดของปี โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ร่วงลงเฉลี่ย 2.3% ในเดือนนี้
หุ้นเทคฯ 7 นางฟ้าร่วงยกแผง
นอกจากนี้ หุ้น 7 นางฟ้าก็ร่วงลงทั้งหมด นำโดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 9.5% (3 ก.ย. 2567) ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทหายไปเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์ และทำให้หุ้นในกลุ่มชิปร่วงลงตาม และกดดันมายังฝั่งเทคฯเอเชียเช้านี้ (4 ก.ย. 2567)
ขณะที่ประเด็นด้านการสืบสวนคดีการผูกขาดโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ที่มุ่งเน้นไปที่การผูกขาดตลาดของ Nvidia ในด้าน AI ในฐานะบริษัทฮาร์ดแวร์ที่ได้รับความนิยม กำลังทวีความรุนแรงขึ้น รายงานจาก Bloomberg ระบุว่าหน่วยงานกำกับดูแลกำลังสืบสวนว่า Nvidia กำลัง "ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์รายอื่นทำได้ยากขึ้น และบริษัทอาจมีบทลงโทษกับลูกค้าที่ไม่ได้ใช้ชิป AI ของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว" หรือไม่
มุมมองการลงทุน
ตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมามาก โดยเฉพาะ Nvidia ที่ราคาปรับขึ้นมาเกินกว่า 150% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา
แม้ตลาดมีความคาดหวังสูงต่อผลประกอบการ แต่ Nvidia ก็สามารถทำกำไรได้ดีกว่าคาดมาโดยตลอด ทำให้ตลาดมีความคาดหวังที่สูงขึ้น นักลงทุนจึงค่อนข้างมีความอ่อนไหวต่อข่าวเชิงลบ โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด หรือเมื่อบริษัทเผชิญข่าวเกี่ยวกับการสืบสวนคดีการผูกขาดโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
คำแนะนำการลงทุน
KAsset ยังคงให้น้ำหนักเป็น Overweight สำหรับหุ้นสหรัฐฯ และเทคฯ โดยแนะนำให้ทยอยสะสมในช่วงที่มีการปรับตัวลงมาได้ โดยเฉพาะในระยะสั้นช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดความผันผวนในตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากเรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้มีในบางภาคส่วนที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวในลักษณะ Soft Landing
อีกทั้งภาคการผลิตในสหรัฐฯ มีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% น้อยกว่าภาคบริการที่มีสัดส่วนมากกว่า 70% โดยตัวเลข ISM ในภาคบริการยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับมากกว่า 50 (สะท้อนการขยายตัว) บวกกับ GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ เพิ่งถูกปรับประมาณการขึ้นเป็น 3% ส่วนคาดการณ์ GDP ไตรมาส 3 โดย Fed สาขา Atlanta ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ต่อ
ในวิกฤตย่อมมีโอกาส!! ยิ่งปรับตัวลง...ยิ่งซื้อได้ถูก
นอกจากนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนในหุ้นกลุ่มเทคฯ ไตรมาส 2 ที่เพิ่งประกาศออกมายังคงดีกว่าคาด นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรให้สูงขึ้น ประกอบกับในระยะข้างหน้า หาก Fed ลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย KAsset มีกองทุนแนะนำ ดังนี้
K-USA ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 30-40 ตัว ที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย
K-USXNDQ ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 100 ตัว ตามดัชนี Nasdaq 100 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคฯ
K-GTECH ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี 50-80 ตัวทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก 5 ดาว
รายละเอียดกองทุน >คลิก<
คำเตือน ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com / กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ที่มา: KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 4 กันยายน 2567