7/6/2018

กระจายการลงทุนได้ง่ายๆ ตามสไตล์นักลงทุนยุค 4.0 ​​

​​​​​​​​​

ผ่านครึ่งแรกของปี 2561 ไปแล้วอย่างเป็นทางการ และเชื่อว่านี้คืออีกหนึ่งปีที่ยากลำบากสำหรับการลงทุนเกือบทุกประเภทสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ น้ำมัน หรือแม้กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในปีทองของการลงทุน ที่ไม่ว่าจะลงทุนอะไรก็ตามก็ได้ผลตอบแทนเป็นบวกกันทั้งหมด แต่เมื่อผ่านมาจนเข้าสู่ครึ่งปีหลัง 2561 นี้ ดูเหมือนว่าตลาดการลงทุนทั่วโลกเผชิญกับภาวะความผันผวนและความกังวลจากปัจจัยกดดันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้นเร็ว ตามมาด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ต่อมาด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป และล่าสุดกับเรื่องการกีดกันทางการค้าที่เริ่มต้นจากสหรัฐฯกับจีน จนตอนนี้อาจจะลุกลามไปถึงยุโรปกันแล้ว และมีทีท่าว่าอาจจะยืดเยื้ออีกด้วย นี่ยังไม่นับรวมถึงการที่ตลาดหุ้นหรือสินทรัพ​ย์ทั่วโลกได้ปรับตัวขึ้นมาโดยตลอดเกือบ 10 ปีเต็มนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์เงินในปี 2551

 

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว หลายคนคงมีคำถามว่า “เราควรลงทุนอะไรกันดี หรือไม่ควรลงทุนอะไรเลยจะดีกว่า?" ซึ่งคำตอบง่ายมากคือ เราควรต้องลงทุนอยู่ เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น นักลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว (Don't put all eggs in one basket)" หรือหมายถึงการกระจายการลงทุนไว้ในสินทรัพย์หลายประเภทหรือ diversification นั่นเอง

การกระจายการลงทุนดีอย่างไร ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าสินทรัพย์ทางการลงทุนไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ น้ำมัน หรืออสังหาริมทรัพย์ นั้นมีความสัมพันธ์หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงของตลาด (market cycle) ตัวอย่างเช่น หุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว หรือในทางกลับกัน ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้จะให้ผลตอบแทนดีในช่วงตลาดถดถอย ดังนั้นเมื่อเรามีการกระจายการลงทุนที่ดี พอร์ตการลงทุนของเรานั้นก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากในยามที่ตลาดผันผวน เนื่องจากสินทรัพย์ที่เรากระจายการลงทุนช่วยสนับสนุนผลตอบแทนของกันและกันอยู่ 


อีกหนึ่งคำถามต่อมาที่ยากสำหรับผู้ลงทุนที่อยากลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะลงทุนสินทรัพย์อะไรบ้าง ในสัดส่วนเท่าไร เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีและเหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้มากที่สุด ตรงนี้ต้องบอกว่าจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของที่ปรึกษาทางการลงทุน (Investment Advisor) แต่นั้นเป็นบริการที่อาจจะยังไม่แพร่หลายนักในประเทศไทยหรือที่มีในปัจจุบันก็อาจจะให้บริการแก่นักลงทุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

 

แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่อยากได้ที่ปรึกษาทางการลงทุนที่ดีจากผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุน อาจจะมองกองทุนรวมเป็นหนึ่งในทางเลือก โดยบลจ.กสิกรไทยมีกองทุนในกลุ่ม K-FIT ที่ถือเป็นการจัดพอร์ตการลงทุนโดยกระจายในหลายหลายสินทรัพย์ผ่านกองทุนรวม โดยมีผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถเป็นคนช่วยเลือกสินทรัพย์ลงทุนและกำหนดสัดส่วนการลงทุนผ่านการใช้โปรแกรม (Optimization Tool) ที่พัฒนาโดยทีมบริหารความเสี่ยงเพื่อหาสัดส่วนการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในระดับความเสี่ยงต่ำที่สุด อีกทั้งยังค่อยปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงการให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมแบบส่วนตัว ผ่านแอปพลิเคชั่น K-My Funds ซึ่งลูกค้ากองทุนรวมกสิกรไทยสามาถดาวน์โหลดได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น อีกด้วย

 

ส่วนรายละเอียดกองทุนในกลุ่ม K-FIT มีทั้งหมด 4 กองทุนได้แก่ K-FITS, K-FITM, K-FITL และ K-FITXL ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนต่อระดับความเสี่ยงที่ต่างกันที่ระดับ 3%, 5.5%, 7% และ 10% ต่อปีตามลำดับ โดยกองทุนจะลงทุนสินทรัพย์ที่ต่างกันไปคือมีทั้งหุ้นไทย ตราสารหนี้ไทย หุ้นเอเชีย หุ้นจีน หุ้นญี่ปุ่น หุ้นอินเดีย และหุ้นโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เป็นต้น โดยแนะนำให้ถือครองเป็นระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป เพื่อให้ได้ปร​ะสิทธิผลที่ดีที่สุด สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บลจ. กสิกรไทย หรือ www.kasikornasset.com

K-FIT Graph.jpg

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
จัดทำ ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2561 โดยนายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)




Yes
7/6/2018
3!เรื่องน่ารู้การลงทุน!Investment Knowledge!situation