2/3/2025

รู้หรือไม่? ไทยติดอันดับ ได้รับผลกระทบ PM2.5 มากสุดในโลก​

รู้หรือไม่ว่า ปี 2567 มีปริมาณ PM2.5 ทั่วโลกมากกว่า 28.93 ล้านตัน โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาของการเผาไหม้จากอุตสาหกรรม และการเผาไหม้โดยธรรมชาติของไฟป่า ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน 

"ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ PM2.5 ที่เรียกได้ว่าเป็น “วิกฤติ” ทางอากาศ ที่สะสมมากขึ้นทุกที "

ประเทศไทยนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 
โดยจากการจัดอันดับของ IQAir เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ติดอันดับ 9 ของโลก ที่มีมลพิษ PM2.5 มากที่สุด โดยมีความเข้มข้นอยู่ที่ 11.3 เท่า จากค่าแนวทาง PM2.5 ประจำปีขององค์การอนามัยโลก และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 62.6 มคก./ลบ.ม. ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เกินมาตรฐาน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง ทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงมิติด้านอื่น ๆ อีกด้วย นั่นคือ

ด้านเศรษฐกิจ
มลพิษทางอากาศของ PM2.5 ทำให้ประเทศไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจไปกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี จากมาตรการงดกิจกรรมกลางแจ้ง ที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลไปถึงกระบวนการทำงานของแต่ละบริษัท ที่ต้องเปลี่ยนไปเป็น Work from Home กะทันหัน ซึ่งทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงไปด้วย

ด้านการท่องเที่ยว
ภาคการท่องเที่ยวและผลผลิต ก็ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 เช่นกัน โดยเฉพาะทางฝั่งภาคเหนือ อย่างจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากไฟป่าและการเผาพืชผลทางการเกษตร ที่ทำให้สภาพอากาศเลวร้าย จนส่งผลต่อปริมาณของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เกิดความกังวลด้านสุขภาพ และทัศนียภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ย่ำแย่ลง ซึ่งธนาคารโลก (World Bank) ได้ประเมินปัญหาด้านมลพิษทางอากาศว่า อาจทำให้ GDP ของประเทศลดลงไปถึง 6% ต่อปีเลยทีเดียว

"ฝุ่น PM2.5 จึงเป็นปัญหาใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจมหภาค ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ "

โดยหนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหา ก็คือ การปรับทิศทางธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ตามหลักการของ ESG มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มผลกระทบเชิงบวกด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจาก Climate Change และ PM2.5 

การเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม 
สะท้อนได้จากการร่วมมือระหว่าง Global Green Growth Institute (GGGI) กับรัฐบาลไทยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการมุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและสร้างงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม🪴 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การจัดการขยะ อาคารสีเขียว อุตสาหกรรมสีเขียว และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเปิดตัวกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง “ThaiESG” ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา 

ThaiESG เป็นกองทุนที่มีการคัดเลือกธุรกิจ และลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่างหุ้นหรือตราสารหนี้ ที่ดำเนินกิจการตามหลัก ESG เป็นหลัก เพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ใส่ใจในความยั่งยืนให้มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในประเทศไทยให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต 

"โดยปัจจุบันมีกองทุนที่อยู่ในหลักเกณฑ์ของ ThaiESG ทั้งหมด 53 กองทุน และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกันสูงสุดถึง 3.2 หมื่นล้านบาทด้วยกัน"

กองทุน ThaiESG จึงเป็นกองทุนที่ไม่ได้มีดีแค่สิทธิประโยชน์ด้านภาษี หรือการมุ่งหวังสร้างกำไรเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สามารถเซฟโลกที่เราอยู่ได้อีกทางหนึ่งด้วย 

KAsset ขอนำเสนอ 3 กองทุน ThaiESG ระดับท็อป พร้อมเปิดโอกาสให้พอร์ตลงทุนของคุณได้เป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืน เพียงแค่เริ่มลงทุนผ่านแอปฯ K-My Funds

- เสริมความมั่นคงให้การลงทุน ด้วยกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐเพื่อความยั่งยืน ที่มีความเสี่ยงต่ำ และยังเป็นกองทุน ThaiESG ที่สร้างผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มตราสารหนี้ ของ ThaiESG อีกด้วย

- เป็นกองทุนผสมเพื่อความบาลานซ์ ลดความผันผวนและสร้างสมดุลให้การลงทุนระยะยาว กระจายการลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ไทยเพื่อความยั่งยืน โดยคัดเลือกเฉพาะหุ้นไทยที่มี SET ESG Ratings ระดับ AAA มากกว่า 50% เท่านั้น 

- กองทุนแรกของไทยที่มุ่งมั่นสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) เน้นลงทุนหุ้น ESG ขนาดใหญ่ของ SET100 ที่มีนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม

จากสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คงไม่เกินจริงมากนักที่เราจะบอกว่า โลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ  และคุณเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเซฟโลกผ่านการลงทุนจาก KAsset ได้เช่นกัน 

ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ข้อมูล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

คำเตือน กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน



Yes
2/3/2025
0
situation