สถิติในอดีตของการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown)

• ตั้งแต่ปี 1981 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เกิดเหตุ “Shutdown” ไปแล้วทั้งหมด 14 ครั้ง และยังมีอีกหลายครั้งที่รอดพ้นได้ด้วยการบรรลุข้อตกลงในนาทีสุดท้าย

• การปิดรัฐบาลโดยเฉลี่ยมักจะกินเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มีเพียง 3 ครั้ง ที่กินเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ ได้แก่ ปี 1995, 2013 และ 2018 ในยุคสมัยของ ปธน. ทรัมป์ 1.0 (ข้อมูลจาก Goldman Sachs)

• สำนักงานสหพันธ์การบิน (FAA) จะปลดพนักงานกว่า 11,000 คน - ประมาณหนึ่งในสี่ของพนักงาน FAA จะถูกพักงานชั่วคราว อย่างไรก็ตาม พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ (air traffic controllers) ประมาณ 13,000 คน และเจ้าหน้าที่ TSA ราว 50,000 คน จะยังคงต้องทำงาน โดยไม่มีค่าตอบแทน กลุ่มสายการบินเตือนว่า shutdown จะลดประสิทธิภาพการบิน ทำให้เที่ยวบินล่าช้า และเบียดเบียนผู้โดยสาร

• หน่วยงานที่เกี่ยวกับด้าน Healthcare หรือหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น CDC (ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค) จะพักงาน ~64% ของบุคลากร NIH (National Institutes of Health) จะพักงาน ~75% ของพนักงาน ทำให้การวิจัยใหม่ การรับผู้ป่วย และกิจกรรม “non-urgent” ถูกชะงัก

• ในการประชุม FOMC ในวันที่ 28 - 29 ต.ค. เนื่องจากมีการปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลที่เริ่มขึ้นในวันที่ 1 ต.ค. จึงอาจส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าช้า เช่น

1. ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงาน - Jobless Claims (กำหนดประกาศ 2 ต.ค.)

2. การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. - Nonfarm Payrolls (กำหนดประกาศ 3 ต.ค.)

3. ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. - CPI (กำหนดประกาศ 15 ต.ค.)

4. ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. - PPI (กำหนดประกาศ 16 ต.ค.)

อย่างไรก็ตาม หากดูเหตุการณ์ในอดีต ถึงแม้การปิดรัฐบาลบางส่วนในปี 2018 - 2019 ในยุคสมัครของ ปธน.ทรัมป์ จะเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ในช่วงนั้น สำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) ยังคงเปิดทำการและดำเนินงานตามปกติ

• ในช่วงระยะสั้นๆ นักลงทุนอาจย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) เช่น ทองคำ และเทขายค่าเงินดอลล่าร์ ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ปรับตัวลง โดยที่ผ่านมา จากเหตุการณ์การ Shutdown ก่อนหน้า ดัชนีดอลลาร์ (DXY) มักอ่อนค่าลงราว 1.0%–1.5% ในสัปดาห์หลังจากเริ่ม Shutdown แต่หลังจากนั้น 3 เดือน ค่าเงินดอลลาร์มักจะฟื้นตัวกลับมา ขณะที่ผลกระทบระยะยาวจำกัด

• สำหรับตลาดหุ้น ผลกระทบถือว่าไม่ชัดเจนและไม่มีทิศทางแน่นอน บางครั้งหุ้นปรับตัวลงในช่วงแรก แต่ก็มีกรณีที่ตลาดปรับตัวขึ้นหรือทรงตัวได้ โดย “ปัจจัยอื่น ๆ ในตลาด” เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงิน หรือผลประกอบการบริษัท มีอิทธิพลมากกว่าเหตุการณ์ปิดรัฐบาล