2/18/2025

LTF ยังมีหวังหรือไม่ ? ถ้าต้องเลือก จะถือ(ต่อ) หรือตัดใจขายออก 

​Highlights :
• ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ปิดลบนำตลาดอื่นๆ ปรับตัวลงกว่า -9% (ณ 14 ก.พ. 2025) 
• ปัจจัยกดดันหลักๆ ได้แก่ 
  1. Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง  
  2. ความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของทรัมป์ 
  3. การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด 
  4. แรงขาย LTF ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต​
• KAsset มอง SET Index ในปัจจุบันมี Downside ที่จำกัดมากแล้ว จากปัจจัยเชิงบวกหลักๆ 
  1. SET Index ในปัจจุบัน เข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว โดยซื้อขายในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต 
  2. การเข้าสู่ช่วงฤดูกาลการจ่ายเงินปันผล (ก.พ.-เม.ย.) จะจำกัด Downside risk ของตลาดหุ้นไทยได้ 
  3. ตลาดหลักทรัพย์กำลังเร่งหามาตรการระยะสั้นเข้ามากระตุ้นและประคองตลาดหุ้นไทย​

ตลาดหุ้นไทยถูกกดดัน จากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ 
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ปิดลบนำตลาดอื่นๆ ปรับตัวลงกว่า -9% (ณ 14 ก.พ. 2025) โดยมีปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่

1. Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้เหลือเพียง 2 ครั้ง จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะปรับลดลงได้ถึง 4 ครั้ง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และกดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่เป็นลบ

2. ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทรัมป์ในประเด็นการขาดดุลทางการค้ากับหลายประเทศทั่วโลก โดยในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐฯมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก แคนาดา และจีน เพื่อลดการขาดดุล แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่ถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐฯในช่วงแรก แต่ยังมีความกังวลว่าประเทศไทยอาจถูกขึ้นภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯในระยะถัดไปเนื่องจากไทยเกินดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯต่อประเทศไทย

ไทยเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด
3. การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด โดย GDP ในไตรมาส 4 แม้จะขยายตัวเร่งขึ้นไปที่ระดับ 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 3.7% โดยได้แรงขับเคลื่อนหลักจากการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่การบริโภคภายในประเทศยังคงเผชิญกับแรงกดดัน แม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังคงลดลงต่อเนื่อง สำหรับปีนี้ คาดว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 2.4-2.7% ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยคาดไว้เดิม และ ยังต่ำกว่า 3.0% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของโควิด 

4. แรงขาย LTF ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต โดยในเดือนมกราคม 2025 ยอดขาย LTF ของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 19,600 ล้านบาท คิดเป็นเกินครึ่งหนึ่งของยอดขาย LTF ในปีที่ผ่านมาทั้งปีที่ 36,800 ล้านบาท  

มุมมองการลงทุน 
KAsset มอง SET Index ในปัจจุบันมี Downside ที่จำกัดมากแล้ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกหลักๆ ได้แก่ 

1. SET Index ในปัจจุบัน เข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว โดยซื้อขายในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต ด้วย Forward PER 12.93 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 15.88 เท่า ทั้งนี้ในเชิงของ PBV อยู่ที่ระดับ 1.23 เท่า เข้าใกล้ระดับช่วงโควิดในปี 2019 แล้ว โดยหากคิดกรณีเลวร้ายที่สุดคือ ให้ SET EPS ในปีนี้ อยู่ที่ 85 เทียบกับปัจจุบันที่ 96 ซึ่งคือกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ จะติดลบจากปีที่แล้ว และตลาดมีการปรับกำไรลง 11%  แล้วใช้  PE -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 13.97x จะได้ SET Index ที่ 1187 จุด คิดเป็น downside เพียง 7% จาก Index ปัจจุบันที่ 1280 จุด 

2. ในช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. ของทุกปี เป็นช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลประจำปี โดยอัตราการจ่ายเงินปันผลของ SET Index อยู่ที่ 3.45% และ 3.92% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ การเข้าสู่ช่วงฤดูกาลการจ่ายเงินปันผล จะจำกัด Downside risk ของตลาดหุ้นไทยได้ โดยจากสถิติตลาดหุ้นไทยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา พบว่า SET Index เดือน ก.พ. มักปรับตัวขึ้นโดยมีระดับความเชื่อมั่นสูงถึง 80% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1.0% ขณะที่หุ้นปันผลดีมักปรับตัวในทิศทางดีกว่าตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว

3. ตลาดหลักทรัพย์กำลังเร่งหามาตรการระยะสั้นเข้ามากระตุ้นและประคองตลาดหุ้นไทยเนื่องจากดัชนีปรับลดลงมาก โดยมีเป้าหมายเน้นให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยอาจเป็นในรูปการจัดให้มี LTF รอบใหม่หรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของกองทุน Thai ESG ​​

คำแนะนำการลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่ LTF ครบกำหนด ควรวางแผนอย่าไงดี?

• ผู้ที่ขาดทุนและมีสัดส่วนหุ้นไทยน้อย
แนะนำ “ถือต่อ รอขายในจังหวะที่ตลาดโลกมีความผันผวนลดลง” โดยในระยะถัดไป downside น่าจะเริ่มจำกัด นักลงทุนอาจจะ priced in ประเด็นความกังวลนโยบายการค้าของทรัมป์ รวมถึงตลาดหุ้นไทยจะเข้าฤดูกาลการจ่ายปันผลในช่วงไตรมาส 1 นี้  อาจช่วยพยุงตลาดได้บ้าง หลังจากนั้นนักลงทุนจะเริ่มกลับมามองที่ปัจจัยพื้นฐาน และมีโอกาสที่ตลาดจะกลับไปยืนเหนือ 1,300 จุดได้ 

• ผู้ที่ขาดทุนและมีสัดส่วนหุ้นไทยเยอะ
แนะนำ “ขายออกบางส่วนได้เลย” โดยแนะนำให้มีสัดส่วนหุ้นไทยในพอร์ตไม่เกิน 5% 


ที่มา: KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย 

ข้อมูล ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 

คำเตือน ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com ​

Yes
2/18/2025
0
situation