บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) อันดับ 1 ของไทย ภายใต้แนวคิด “Insight to Impact" โดยใช้มุมมองและความเข้าใจในเชิงลึกเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการลงมือทำอย่างมีเป้าหมาย ชูการครองส่วนแบ่งตลาดกองทุน ESG Fund และ SRI Fund มากที่สุดในอุตสาหกรรม รวมมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนในการยกระดับมาตรฐานการลงทุนอย่างยั่งยืนของไทยสู่มาตรฐานสากล
นายวิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) อันดับ 1 ของไทย ภายใต้แนวคิด “Insight to Impact" มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินงานอย่างมีเป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1.Trusted Partner for Sustainable Investment Solutions ส่งมอบผลิตภัณฑ์และคำแนะนำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง 2.Strengthening Active Ownership & ESG Integration ยกระดับการมีส่วนร่วมกับกิจการที่ลงทุนและผสาน ESG เข้ากับกระบวนการลงทุน 3.Leadership in Governance & Transparency ผู้นำด้านธรรมาภิบาลและการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสภายใต้มาตรฐานสากล และ 4.Net Zero Commitment ความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในระดับการดำเนินงานขององค์กรและพอร์ตลงทุน
นายวินกล่าวต่อไปว่า ความสำเร็จด้านความยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในทุกมิติของ ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยทางด้านสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ การลงทุน และการดำเนินงานภายในองค์กร ในส่วนการลงทุน บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมาย Net Zero AUM (Asset under Management in Scope) Emission ภายในปี 2065 อีกทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนการไปถึงเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย ผ่านการพัฒนาและออกกองทุน K-Target Net Zero ซึ่งเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีแนวทางชัดเจนในการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงมีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อพอร์ตลงทุนของ บลจ.กสิกรไทย ตามแนวทาง Task Force for Climate-Related Financial Disclosure -TCFD) ติดต่อกันมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในส่วนการดำเนินงานภายในองค์กร บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมาย Net Zero Target ในส่วนของ Scope 1 และ 2 ภายในปี 2030 โดยในปี 2024 ได้ลดการใช้น้ำมันดีเซลในองค์กรลงไปกว่า 2,000 ลิตร คิดเป็นสัดส่วน 41% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและตั้งเป้าเปลี่ยนเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ทั้งหมดในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมการจัดซื้อใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้าให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการจัดการขยะภายในองค์กร ซึ่งลดปริมาณขยะรวมได้กว่า 20% และ ลดปริมาณขยะที่ส่งไปยังหลุมฝังกลบ 52% จากปีก่อนหน้า
สำหรับทางด้านสังคม บลจ.กสิกรไทย ได้เผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนผ่านบทความบนสื่อโซเชียลมีเดียและการสัมมนาสาธารณะต่างๆ อีกทั้งยังได้จัดกิจกรรม KAsset Investment Boot Camp เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนให้กับเยาวชน รวมถึงการจัดเสวนาพิเศษด้านความยั่งยืนประจำปี โดยเชิญผู้นำองค์กรชั้นนำของไทยทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมหารือในประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ขององค์กรให้เปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจโลกที่มีคาร์บอนต่ำ และมีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ ทางด้านธรรมาภิบาล บลจ.กสิกรไทย ยกระดับการปฏิบัติด้านธรรมาภิบาลและเปิดเผยข้อมูลให้เป็นมาตรฐานสากล โดยเป็นบริษัทจัดการกองทุนแห่งแรกของไทยที่ลงนามในหลักการการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบของสหประชาชาติ (UNPRI) รวมถึงการจัดทำรายงานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (TCFD) รวมถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต (CAC) ตั้งแต่ปี 2013
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2024 ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกับลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odier) สถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะพันธมิตรที่ปรึกษาที่จะช่วยในการพัฒนากลยุทธ์และผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Investment) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ในปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดกองทุน ESG Fund และ SRI Fund เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.20 หมื่นล้านบาท และ 3.09 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 28.8% และ 37.3% ตามลำดับ นำโดยกองทุน K-TNZ-ThaiESG ซึ่งเป็นกองทุนหุ้น ThaiESG ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่ากว่า 2.98 พันล้านบาท และยังคงเป็นกองทุนที่ส่งเสริมการไปสู่เป้าหมาย Net Zero กองแรกและกองเดียวในประเทศไทย ขณะที่กองทุน K-ESGSI-ThaiESG เป็นกองทุนตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนภาครัฐที่ใหญ่ที่สุด ด้วยมูลค่ากว่า 6.27 พันล้านบาท นอกจากนี้กองทุน K-CHANGE ยังเป็นกองทุนหุ้น ESG ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดเช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่ากว่า 1.50 หมื่นล้านบาท (ที่มา : AIMC ณ วันที่ 30 มิ.ย. 68)" นายวินกล่าว
นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในการบริหารจัดการกองทุนตามหลัก ESG ของ บลจ.กสิกรไทย ได้รับการการันตีจากรางวัลทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นรางวัลบลจ.ยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืนจาก SET Awards 2024 รางวัล Best ESG Manager จาก Best of the Best Awards 2025 และล่าสุดกับรางวัล Asset Management Company of the Year จาก The Asset Triple A Sustainable Investing Awards 2025 ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงยึดมั่นในความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยพร้อมเป็นหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการยกระดับมาตรฐานการลงทุนอย่างยั่งยืนของไทยสู่มาตรฐานสากล
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) พร้อมคณะผู้บริหารของ บลจ.กสิกรไทย ให้การต้อนรับนายแพทริก เฮมเมอร์ (H.E. Mr. Patrick Hemmer) เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย และนายทอม เธโอบาลด์ (Mr. Tom Théobald) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Luxembourg for Finance (LFF) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลการพัฒนาศูนย์กลางการเงินของลักเซมเบิร์ก เนื่องในโอกาสเยี่ยมชมธุรกิจจัดการกองทุน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองต่อการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนการลงทุนโดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินของทั้ง บลจ.กสิกรไทย และ LFFนายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) พร้อมคณะผู้บริหารของ บลจ.กสิกรไทย ให้การต้อนรับนายแพทริก เฮมเมอร์ (H.E. Mr. Patrick Hemmer) เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย และนายทอม เธโอบาลด์ (Mr. Tom Théobald) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Luxembourg for Finance (LFF) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลการพัฒนาศูนย์กลางการเงินของลักเซมเบิร์ก เนื่องในโอกาสเยี่ยมชมธุรกิจจัดการกองทุน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองต่อการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนการลงทุนโดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินของทั้ง บลจ.กสิกรไทย และ LFF