10/23/2025

เมื่อโลกร้อนขึ้น ปี 2593 จะเกิดอะไรกับกรุงเทพฯบ้าง

สถานการณ์น้ำท่วมที่เพิ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่ตอกย้ำถึงความเปราะบางของประเทศ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่กำลังเผชิญกับคำเตือนถึงความเสี่ยงจมน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลากหลายองค์กร ที่ได้ออกมาเตือนถึงเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น

Climate Central องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐฯ 
ที่ได้ทำการศึกษา และระบุว่า กรุงเทพฯ อาจเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยคาดการณ์ว่าพื้นที่ในและรอบกรุงเทพฯ จะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำท่วมประจำปี ภายในปี 2593 

และหากยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับที่สูงต่อไป ภายในสิ้นศตวรรษนี้ พื้นที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรไทยกว่า 17% ก็อาจจมอยู่ใต้ระดับน้ำขึ้นสูงสุดอย่างถาวรก็เป็นได้

ขณะเดียวกันศูนย์วิจัยกสิกรไทยเอง ก็ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลนี้ด้วย โดยคาดการณ์ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลของไทยมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้น 12.5 ซม. ซึ่งภายในปี 2593 ปัญหาน้ำท่วมอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยราว 0.3% ของ GDP และกระทบต่อประชากรครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ หรือประมาณ 5 ล้านคน 

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่า น้ำท่วมไทยปี 2568 นี้ จะสร้างความเสียหายต่อข้าวนาปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5,210 ล้านบาท อีกด้วย



อย่างไรก็ตาม หากจะแก้ไขเรื่องนี้ได้  ต้องเข้าใจว่า สถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่กลับเป็นผลลัพธ์ของ "วิกฤติซ้อนวิกฤติ" ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมของมนุษย์ ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เร่งการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังทำให้รูปแบบของฝนและพายุแปรปรวนอีกด้วย ผนวกกับการที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ ซึ่งที่เป็นพื้นที่ต่ำ ก็ยิ่งส่งผลให้มวลน้ำมหาศาลท่วมขังได้อย่างรวดเร็ว จนสร้างความเสียหายที่อาจประเมินค่าไม่ได้

สำหรับทางออกของเรื่องนี้ ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย..

ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทย ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตราการรองรับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผนภาครัฐ ที่จำเป็นต้องลงทุนในโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน กำแพงกั้นน้ำทะเล หรือระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการวางผังเมืองที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยงในพื้นที่เศรษฐกิจด้วย

และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นอกเหนือจากการปรับปรุงระบบระบายน้ำภายในแล้ว การช่วยโลกไม่ให้ร้อนขึ้น ก็ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอด้วย อย่างการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์

ในฐานะนักลงทุนเราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่ยาก ผ่านการเลือกสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งทาง KAsset ก็มี 4 กองทุนมาให้เลือกด้วยกัน

1. K-ESGSI-A 
ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน พร้อมสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อการลงทุนระยะยาว 
 
2. K-ESGSI-ThaiESG  
ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (ESG) มีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี

3. K-TNZ-ThaiESG 
ลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ ที่มีเป้าหมาย Net Zero พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี

4. K-BL30-ThaiESG  
ลงทุนผสม ทั้งตราสารหนี้ไทยด้วยนโยบาย Positive Screening และหุ้นไทยที่มี SET ESG Rating ระดับ AAA พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี

และอย่าลืมว่า.. การลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอย่างอ้อม ๆ ไปยังภาคธุรกิจว่า เราคนไทยให้ความสำคัญกับบริษัทที่รับผิดชอบต่อโลกและสังคมเป็นอันดับต้น ๆ 
เมื่อบริษัทเหล่านี้ได้รับการสนับสนุน พวกเขาก็จะมีทรัพยากรในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยนั่นเอง

วิกฤติน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นอนาคตที่เราต้องเผชิญร่วมกัน การแก้ไขปัญหาต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ทั้งจากภาครัฐและจากพลังของพวกเราทุกคน

ที่มา: บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2025​

คำเตือน : กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​




Yes
10/23/2025
0
situation