นโยบายด้านภาษีนำเข้าของทรัมป์ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่าย ๆ เพราะได้ประกาศยืดระยะเวลาการบังคับใช้ออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศไปเจรจาเพิ่มเติม
ดังนั้น วันนี้เราจะพาไปอัปเดตความคืบหน้าว่าทั้งสหภาพยุโรป จีน และไทย จะเดินหน้าเจรจาอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เพื่อให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันเวลา
สหภาพยุโรป
ทางสหภาพยุโรปมีการยื่นข้อตกลงด้านภาษี “Zero-for-Zero” โดยจะยกเว้นภาษีการนำเข้ารถยนต์และสินค้าในหลายอุตสาหกรรม เช่น ยาง ยา ฯลฯ พร้อมทั้งมีการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม
ซึ่งก่อนหน้านี้ทางสหรัฐฯ จะเก็บภาษีกับสหภาพยุโรป 50% ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ แต่ก็ได้เลื่อนเป็นเดือนกรกฎาคมแทน เนื่องจากเกิดการเจรจากันระหว่างทรัมป์และประธานสหภาพยุโรป ทั้งนี้ก็ต้องติดตามสถานการณ์การเจรจาเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
ประเทศจีน
ก่อนหน้านี้ทางฝั่งสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนอยู่ที่ 145% ส่วนจีนก็เรียกเก็บภาษีในสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ 125% จะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันด้วยอัตราภาษีที่สูง
และทั้งสองประเทศนำโดยสหรัฐฯ ได้ตกลงว่าจะลดอัตราภาษีเหลือ 30% ส่วนจีนจะลดเหลือ 10%
รวมถึงในอนาคตจะมีการจัดตั้งกลไกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า จึงถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่จะชะลอความตึงเครียดของทั้งสองประเทศได้
ประเทศไทย
สำหรับไทยเองก็โดนผลกระทบจากมาตรการภาษีด้วยเช่นกัน ซึ่งจะถูกเก็บภาษี 36% ทำให้ทางรัฐบาลไทยพยายามเจรจาด้วยการยื่นข้อเสนอ เช่น เรื่องการเพิ่มสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าเกษตร พลังงาน และเพิ่มการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น
รวมถึงรัฐบาลไทยได้แสดงความพร้อมในการเข้าเจรจาด้านภาษีกับสหรัฐฯ เพิ่มเติม ซึ่งก็ต้องรอติดตามท่าทีของสหรัฐฯ อีกครั้ง
ประเด็นใหญ่ที่ต้องติดตาม คือ…
ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (Court of International Trade) ได้ระงับมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ เนื่องจากการขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นอำนาจของรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดี
แต่ล่าสุดทางศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ อนุญาตให้ทรัมป์ สามารถเรียกเก็บภาษีภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินต่อไปเป็นการชั่วคราวได้ โดยที่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่ชัด ทำให้ทางฝั่งรัฐบาลของทรัมป์ประกาศจะเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ต่อไป
ท่ามกลางความไม่แน่นอนดังกล่าว ก็ยังไม่มีใครทราบถึงบทสรุปของนโยบายภาษี แต่หนึ่งสิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้ คือ การปรับกลยุทธ์การลงทุน ด้วยการย้ายเงินลงทุนบางส่วนไปพักไว้ที่ตราสารหนี้
เพราะตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยจากความผันผวนในตลาด พร้อมช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุนได้ด้วย หากคุณกำลังมองหาทางเลือกที่เหมาะกับเวลานี้ ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ จาก KAsset ที่มีให้เลือกมากมาย
K-SF
ลงทุนอย่างน้อย 1-3 เดือนขึ้นไป โดยจะลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่เน้นพันธบัตรไทย รวมถึงเงินฝากทั้งในและต่างประเทศ จึงเป็นทางเลือกพักเงินในระยะสั้น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก
K-SFPLUS
ลงทุนอย่างน้อย 3-6 เดือนขึ้นไป โดยจะลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แต่เน้นพันธบัตรและหุ้นกู้ไทย พร้อมหาโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในเงินฝากต่างประเทศ
K-FIXED
ลงทุนอย่างน้อย 1 - 1.5 ปี โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน และเงินฝากคุณภาพดีในไทยเท่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลง พร้อมทีมบริหารที่มีประสบการณ์ และได้รับรางวัลการันตีมากมาย
K-FIXEDPLUS
ลงทุนอย่างน้อย 1 - 1.5 ปี โดยจะลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ ที่มีสภาพคล่องสูง มี Credit Rating เฉลี่ย A+ และจะมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศอย่างยืดหยุ่น