โดยในปีนี้ กรมสรรพากรมีการเปิดให้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึงวันที่ 10 เมษายน 2566 และสำหรับใครที่ได้ทำเรื่องยื่นภาษีไปเรียบร้อยแล้ว เวลานี้คงทยอยได้รับเงินคืนภาษีกันบ้างแล้ว
จึงเกิดคำถามที่ว่า …จะเอาเงินคืนภาษี ไปทำอะไรต่อดีล่ะ ?
จะเอาเงินคืนภาษีที่ได้ไปทำอะไรดี จะเอาไปช็อปปิง จะเก็บออมไว้ หรือจะเอาไปลงทุนต่อ ? แล้วแบบไหนนะ ที่จะทำให้เราได้กำไรสูงที่สุด ?
วันนี้ KAsset มีคำแนะนำ และวิธีดี ๆ ในการ Knock เงินคืนภาษีแบบฟินๆ เพื่อให้การเงินของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้นทุกปี
Step แรกก่อนอื่น สิ่งที่เราควรรู้ คือ
1. เงินคืนภาษี คือเงินที่เกิดจากการที่เราจ่ายภาษีเกินจากฐานรายได้
ดังนั้น จึงสะท้อนได้ว่า เรามีการวางแผนการเงินที่เหมาะสมแล้วระดับหนึ่ง และเงินคืนภาษีก็มีค่าเท่ากับเงินเย็น ถือเป็นเงินส่วนต่างที่อยู่นอกเหนือจากเงินที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ห้ามนำไปใช้เด็ดขาด
ถ้าเราปล่อยเงินคืนภาษีก้อนนี้ทิ้งไว้เฉย ๆ คงน่าเสียดาย เงินในส่วนนี้จึงเหมาะที่สุดกับการออม หรือการลงทุนนั่นเอง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว Step ถัดมาที่ควรทำ คือ
2. เริ่มวางแผนว่าเงินคืนภาษี จะถูกนำไปอยู่ในแผนไหน
ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ระยะเวลา เพื่อให้สามารถวางแผนในการจัดการเงินคืนภาษีได้อย่างเหมาะสม ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น
เงินเก็บระยะสั้น : เอาไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินอย่างการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุนั่นเอง
เงินเก็บระยะกลาง : เอาไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต อย่างการซื้อบ้าน ซื้อรถ และทุนสำรองสำหรับครอบครัว ธุรกิจ หรือค่าเทอม เป็นต้น
เงินเก็บระยะยาว : เอาไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ ถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่ออนาคตมากที่สุด
หลังจากวางแผนเป้าหมายที่ต้องการไว้อย่างชัดเจนแล้ว Step ต่อไปคือการ “เปลี่ยนเงินก้อนเล็ก ให้เป็นเงินก้อนใหญ่” หรือการนำเงินคืนภาษีมาต่อยอดให้เติบโต โดยลงทุนตามรูปแบบระยะเวลาที่เลือกไว้แล้ว ซึ่งเมื่อทำแบบนี้ เราก็จะสามารถขยายเงินภาษีก้อนเล็ก ๆ เพิ่มเป็นเงินก้อนโตได้โดย
คำแนะนำการลงทุน
• การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะสั้น
ควรเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ เพื่อจะได้สามารถนำมาใช้ได้ทันที เช่น ฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ หรือลงทุนในกองทุนตลาดเงิน และตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SF
• การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะกลาง
ควรเป็นสินทรัพย์ที่ขยับความเสี่ยงมาในระดับกลาง เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นจากเงินต้น เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว อย่างพันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน และหุ้นกู้ รวมถึงลงทุนในกองทุนผสม อย่าง K-PLAN 2 และ 3
• การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะยาว
ควรเป็นสินทรัพย์พื้นฐานดี เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น และเกิดเงินสะสมในระยะยาวให้มากที่สุด เช่น ลงทุนหุ้นสามัญ กองทุนหุ้นต่าง ๆ หรือกองทุนรวมเพื่อการออม และวัยเกษียณอย่าง SSF และ RMF ซึ่งเราก็จะได้รับประโยชน์ทางภาษีอีกต่อหนึ่งด้วย
จะเห็นได้ว่าการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีจากเงินคืนภาษีไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าเรารู้ว่ามีเป้าหมายอะไร อยู่ในระยะไหน และควรลงทุนไปกับสินทรัพย์อะไร เราก็สามารถออกแบบความมั่นคงได้จากเงินคืนภาษีที่สามารถเกิดขึ้นกับเราให้ฟินฟินได้ทุกปีนั่นเอง