7/31/2025

อยากลงทุนต่างประเทศ ต้องวางแผนลงทุนอย่างไรให้รอด?

ตั้งแต่ต้นปี 2568 หุ้นโลกหลายตลาดต่างให้ผลตอบแทนที่ดี 
ในทางกลับกัน ดัชนี SET Index ของไทย กลับปรับตัวลงสวนทาง และด้วยอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันนี้เอง ให้นักลงทุนไทยมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศมากขึ้น

แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลาดผันผวนแบบนี้ คำถามคือ แล้วอย่างนี้ นักลงทุนรายย่อยต้องลงทุนอย่างไร แล้วควรเลือกลงทุนเอง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ? 

มาหาคำตอบพร้อมกันในรายการ Talk ลงทุนแมน ที่คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ CFA, Managing Director บลจ.กสิกรไทย จะมาร่วมแชร์มุมมอง พร้อมให้คำแนะนำ โดยในวันนี้ KAsset ได้สรุปประเด็นสำคัญมาให้ทุกคนแล้ว

​[ ทำไมนักลงทุนไทยถึงหันมาลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น?] 
นอกจากผลตอบแทนระยะสั้นของหุ้นโลกดังที่กล่าวไปช่วงต้นแล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี พร้อมด้วย ROE และคุณภาพของกำไรที่สูง บวกกับตลาดหุ้นโลกมีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น เทคโนโลยี, AI หรือ Healthcare ที่เปิดกว้างให้นักลงทุนมากขึ้น รวมถึงช่องทางลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ผลักดันให้นักลงทุนไทยหันมาลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น

สำหรับภาพรวมการลงทุนของนักลงทุนไทยในปัจจุบัน คุณวจนะ กล่าวว่า นักลงทุนไทยมีความรู้ทางการเงินมากขึ้น และพร้อมเปิดรับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม สะท้อนจากพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละประเภทสินทรัพย์

- สินทรัพย์ปลอดภัย (Save Asset)
เม็ดเงินโยกจาก “บัญชีเงินฝาก” เข้าสู่ กองทุนตราสารหนี้ มากขึ้น เนื่องจากกองทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และนักลงทุนเข้าใจเรื่อง Duration ที่ยาวขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า 

- กองทุนรวมแบบผสม (Multi-Asset Fund)
กองทุนประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองหาการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

- สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset)
มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน เช่น ประกันสังคม และกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.)

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ อาจจะมีคำถามว่า แล้วควรเลือกลงทุนด้วยตัวเองโดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมดี ? 

[ ลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง VS ลงทุนหุ้นผ่านกองทุนรวม ] 
แน่นอนว่าการลงทุนตรงในหุ้นรายตัวนั้น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง หากนักลงทุนสามารถเลือกหุ้นได้ “ถูกตัว” และจับจังหวะตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยการศึกษาและทำความเข้าใจบริษัทนั้น ๆ อย่างละเอียด ทั้งการวิเคราะห์งบการเงิน และทำความเข้าใจธุรกิจและสภาพแวดล้อม

และด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนของการลงทุนหุ้นรายตัว ทำให้ “กองทุนรวม” กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ผ่านปัจจัยด้านต่าง ๆ ดังนี้

1.กระจายความเสี่ยง
ลงทุนในหุ้นหลากหลาย 30-50 ตัว หรือมากกว่านั้น รวมถึงมีตราสารหนี้ ช่วยลดความเสี่ยงกระจุกตัวของสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.เข้าถึงสินทรัพย์หลากหลาย
กองทุนรวมมีการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก (ปรับคำในรูปด้วย) ที่ให้เลือกลงทุนได้ตามเป้าหมาย

3.มีมืออาชีพดูแลอย่างใกล้ชิด
กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ คอยติดตามสถานการณ์ตลาด วิเคราะห์ข้อมูล และปรับพอร์ตให้เหมาะสมอยู่เสมอ

KAsset ขอแนะนำกลยุทธ์ “Core-Satellite” เพื่อสร้างสมดุลในทุกสภาวะตลาด โดยแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหลัก (Core Portfolio) และส่วนเสริม (Satellite Portfolio) 

เน้นการลงทุนแบบ Multi-Asset เสริมความมั่นคง และช่วยลดความผันผวนของพอร์ต 

แนะนำ 𝐊-𝐖𝐞𝐚𝐥𝐭𝐡𝐏𝐋𝐔𝐒 𝐒𝐞𝐫𝐢𝐞𝐬 กลุ่มกองทุนผสม Core Portfolio ที่ให้เลือกสัดส่วนการลงทุนตามสไตล์ตนเอง และมั่นใจด้วยพาร์ตเนอร์ระดับโลกอย่าง J.P. Morgan Asset Management 

• 𝐊-𝐖𝐏𝐁𝐀𝐋𝐀𝐍𝐂𝐄𝐃 เน้นลงทุนในหุ้น 30% ตราสารหนี้ 70% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ
• 𝐊-𝐖𝐏𝐒𝐏𝐄𝐄𝐃𝐔𝐏 เน้นลงทุนในหุ้น 65% ตราสารหนี้ 35% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง
• 𝐊-𝐖𝐏𝐔𝐋𝐓𝐈𝐌𝐀𝐓𝐄 เน้นลงทุนในหุ้น 85% ตราสารหนี้ 15% เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง

แนะนำ กลุ่มกองทุนตราสารหนี้
• K-SF ลงทุนระยะสั้น 1-3 เดือน สำหรับพักเงินช่วงตลาดผันผวน
• K-SFPLUS ลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือน สำหรับพักเงินช่วงตลาดผันผวน
• K-FIXED ลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี ลงทุนในตราสารหนี้ไทยเท่านั้น ดูเรชั่นพอร์ต 2-4 ปี
• K-FIXEDPLUS ลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี ลงทุนในตราสารหนี้ไทย และต่างประเทศบางส่วนใน ETF ตราสารหนี้สหรัฐฯ ดูเรชั่นพอร์ต 2-4 ปี

ส่วนที่ 2 : Satellite Portfolio (สัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ต) 
สำหรับโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะสั้น 
• 𝐊-𝐆𝐒𝐄𝐋𝐄𝐂𝐓 กองทุนหุ้นโลก กระจายลงทุนในหุ้นคุณภาพขนาดใหญ่ทั่วโลก
• 𝐊-GPIN กองทุนหุ้นโลก ที่เน้นหุ้น Defensive และใช้กลยุทธ์การขาย Call Option 
• 𝐊-𝐈𝐍𝐃𝐈𝐀 เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมหลักในประเทศอินเดีย ที่มีโอกาสเติบโต
• 𝐊-VIETNAM  เน้นลงทุนตรงในหุ้นเวียดนาม กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ

ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำและกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยติดอาวุธให้นักลงทุนเดินหน้าสู่เป้าหมายทางการเงิน และสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมั่นใจในระยะยาว 

สนใจลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ K-My Funds เริ่มต้นเพียง 500 บาท

ที่มา: บลจ.กสิกรไทย 

ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2025​

คำเตือน : กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​



Yes
7/31/2025
0
situation