• ญี่ปุ่นจะลงทุน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ในสหรัฐฯ และจะเปิดตลาดให้รถยนต์ ข้าว และสินค้าเกษตร จากสหรัฐฯ เข้าถึงญี่ปุ่นมากขึ้น
• สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 15% จากสินค้าญี่ปุ่น รวมทั้งรถยนต์ ขณะที่เหล็กและอะลูมิเนียมจะถูกเรียกเก็บ 50%
• โดยที่ผ่านมา มีการเจรจากันถึง 8 รอบ โดยมี เรียวเซ อากาซาวะ เป็นตัวแทนจากญี่ปุ่นไปที่ทำเนียบขาว
• นอกจากนี้ ยังมีความชัดเจนเรื่องการลงทุนเพิ่มเติม ได้แก่ Isuzu จะลงทุน 280 ล้านดอลลาร์ ใน South Carolina และ Toyota จะลงทุน 88 ล้านดอลลาร์ ด้วยการขยายโรงงานไฮบริด
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องการยกเว้นภาษี 25% สำหรับรถยนต์ ซึ่งทรัมป์ต้องการให้รถยนต์นำเข้าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของสหรัฐฯ
ตลาดการเงินเช้านี้ตอบรับเชิงบวก (23 ก.ค. 2025)
• ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งขึ้น โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับขึ้นประมาณ 3% โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นยานยนต์ เช่น Toyota และ Mazda ที่พุ่งแรง 10–12%
• ตลาดตราสารหนี้ดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย (ราว 2 bps)
• ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อย ขณะที่เยนอ่อนตัวหลังแข็งขึ้นในช่วงแรก
KAsset มองผลกระทบอย่างไร
• การถูกเรียกเก็บภาษีจะส่งผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.70% ขณะเดียวกันจะกระทบ Earning Growth ปี 2026 ประมาณ 8% ส่งผลให้เหลือเติบโตเพียง 0-2% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
• ข้อตกลงที่ได้มา อาจไม่ทำให้ญี่ปุ่นมีความเหนือประเทศอื่นๆ ที่กำลังจะได้ดีลเช่นกัน ซึ่งจากข่าว ญี่ปุ่นต้องแลกมากับการลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 5.5 แสนล้านดอลลาร์ และยังต้องแบ่งกำไรกันสูงถึง 90% รวมถึงการเปิดการนำเข้าสินค้าต่างๆมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้น การเลือกตั้งวุฒิสภาที่ผ่านมา พรรค LDP และพรรคร่วมรัฐบาล ได้เพียงแค่ 47 ที่นั่ง จากที่ต้องการ 50 ที่นั่ง หลังจากที่เดือน ต.ค. 2024 ได้แพ้การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ซึ่งเป็นการสร้างความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มสูงขึ้นได้ จากการที่รัฐบาลเสียงข้างมากใหม่มีนโยบายเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ จึงมีโอกาสสร้างปัญหาให้กับตลาดตราสารหนี้ ผ่านการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Normalization)
มุมมองการลงทุน
• ตลาดลดความกังวลลงแล้ว หลังจากได้รับแรงหนุนจากเรื่องการเจรจา โดยที่ผ่านมา กลุ่มยานยนต์ของญี่ปุ่นและหุ้นเอเชียโดยรวมถูกเทขายแต่กลับมีแรงซื้อตามข่าวดีดังกล่าว
• หากรายละเอียดของดีลเพิ่มเติมชัดเจน เช่น การเจรจาเพิ่มเติม หรือ ยกเลิกภาษีรถยนต์ อาจจะทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นต่อ ส่งผลดีต่อราคาหุ้นในระยะกลางได้
• ฝั่งสหรัฐฯ การขยายฐานอุตสาหกรรม และเงินลงทุนมหาศาล จะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของหุ้นภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต
KAsset มีมุมมองต่อหุ้นญี่ปุ่น ’เป็นกลาง‘
• ทยอยสะสมได้ แต่เป็นสัดส่วนไม่สูง เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมา การเจรจามีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งมีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่รัฐบาลเสียที่นั่งเสียงข้างมากในการเลือกตั้งวุฒิสภาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินเฟ้อและค่าครองชีพปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความไม่พอใจ นำไปสู่ประเด็น การลด Consumption Tax ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้พรรคฝ่ายค้านได้เสียงมากขึ้น
คำเเนะนำการลงทุน "จัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง โดยใช้กลยุทธ์ Core-Satellite Portfolio"
ส่วนที่ 1 : Core Portfolio เพื่อเสริมความมั่นคง และลดความผันผวน
• K-WPBALANCED / K-WPSPEEDUP / K-WPULTIMATE
กองทุนผสม กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับกลยุทธ์อย่างคล่องตัว
• K-FIXEDPLUS กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว ลงทุนในตราสารหนี้ไทย และต่างประเทศบางส่วนใน ETF ตราสารหนี้สหรัฐฯ ดูเรชั่นพอร์ต 2-4 ปี
• K-SFPLUS กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น สำหรับพักเงินช่วงตลาดผันผวน
ส่วนที่ 2 : Satellite Portfolio สำหรับโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะสั้น
• K-GDBOND กระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั่วโลก ปรับพอร์ตได้อย่างยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด
• K-GSELECT กองทุนหุ้นโลก ที่ออกแบบพอร์ตมาให้รองรับทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในวัฏจักรหุ้น Growth หรือ Value
• K-INDIA กองทุนหุ้นอินเดีย เน้นหุ้นคุณภาพดี เติบโตสูง และไม่จำกัดโอกาสการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
• K-PROPI เน้นลงทุนใน REITs ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
ที่มา: KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย