• สหรัฐฯ จะเก็บภาษีศุลกากร 15% กับสินค้าส่วนใหญ่จากยุโรป (รวมถึงรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเภสัชภัณฑ์) ซึ่งลดลงจากที่เคยระบุจะเรียกเก็บก่อนหน้านี้
• กลุ่มสินค้ากลยุทธ์ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องบิน สารเคมีเฉพาะ ยา อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ และวัตถุดิบบางอย่าง จะไม่มีภาษี (zero-for-zero tariffs)
• กลุ่มเหล็กและอลูมิเนียม ยังคงเก็บที่ 50% แต่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้ระบบโควตาในภายหลัง
• ฝั่งสหภาพยุโรปจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ (มาจาก LNG และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์) และลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ 6 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ทางทหารจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าว ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ที่เมือง Turnberry ประเทศสกอตแลนด์
มูลค่าทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและยุโรป
ปี 2023–2024 มูลค่าการค้ารวม (สินค้า + บริการ) อยู่ที่ประมาณ 1.6–1.68 ล้านล้านยูโร หรือราว 9.76 แสนล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตอบรับบวก (28 ก.ค. 2025)
ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 0.8% โดยบริษัทที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ASML +5%
มุมมองของนักลงทุนต่อผลกระทบเชิงนโยบาย
• เสถียรภาพ - ลดความเสี่ยงจากสงครามภาษี ช่วยสร้าง "predictability" ให้กับการค้าระหว่างประเทศ
• ต้นทุนผู้บริโภคและผู้ส่งออก - การกำหนดภาษี 15% ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าอาจสูงขึ้น และผู้ส่งออกยุโรปจะเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น
• ข้อจำกัดภาคอุตสาหกรรม - ภาคเหล็กและอลูมิเนียมยังถูกเก็บภาษีสูงที่อัตรา 50% และยังมีความไม่ชัดเจนในภาคเกษตรและเภสัชภัณฑ์บางกลุ่ม
ความเห็นจากผู้นำและองค์กรสำคัญ
• ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ - “This is probably the biggest deal ever reached in any capacity, trade or beyond trade."
• ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen - “The deal creates certainty in uncertain times… but the 15% tariff remains a challenge.”
• นายกรัฐมนตรีเยอรมัน Friedrich Merz - “ช่วยหลีกเลี่ยงสงครามการค้าซึ่งจะกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมส่งออกเยอรมนี”
• Federation of German Industries - เรียกข้อตกลงนี้ว่า “การประนีประนอมที่ยังไม่เพียงพอ”
มุมมองการลงทุน : KAsset ยังคงมุมมองเป็นกลาง หรือ Neutral ในหุ้นยุโรป
การเจรจาการค้าครั้งนี้ถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด เนื่องจากเป็นการลดความเสี่ยงการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจใหญ่ของโลก และการตกลงภาษีจะช่วยสร้างความชัดเจนด้านกฎเกณฑ์สำหรับบริษัทลงทุนข้ามชาติในส่วนของพลังงาน รถยนต์ และเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและฝรั่งเศส ยังคงโดนเก็บภาษีสินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯที่ 15% จึงต้องจับตามองผลกระทบต่อตัวเลขการส่งออกของ 2 ประเทศนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงยังคงมีความไม่แน่นอนว่าจะมีการเก็บภาษีสินค้าตัวอื่นๆ อีกหรือไม่ นอกจากนี้ การที่ EU ต้องพึ่งพาการลงทุนด้านพลังงานจากสหรัฐฯ อาจกดดันความสามารถแข่งขันของ EU ระยะยาว
ดังนั้น เราจึงยังคงมีมุมมองการลงทุนในหุ้นยุโรปเป็น “กลาง” เนื่องจากปัจจัยบวกด้านการลงทุนทางการทหารของเยอรมันได้เข้าไปอยู่ราคาพอสมควร และยังไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มเติม