ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ระงับภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์เสนอ
• Federal Trade Court ของสหรัฐฯ ระงับภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอ จากการฟ้องร้องที่นำโดย Liberty Justice Center ในนามของธุรกิจขนาดเล็ก 5 แห่งในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากภาษี
โดยศาลการค้าระหว่างประเทศตัดสินว่า อำนาจในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศเป็นของรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี
• พระราชบัญญัติ IEEPA (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งปธน.ทรัมป์ใช้อ้างอิง ระบุว่า ไม่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการเรียกเก็บ “ภาษีไม่จำกัด” จากเกือบทุกประเทศ โดยศาลระบุชัดว่า IEEPA ไม่ได้ให้อำนาจไร้ขอบเขต และจึงตัดสินยกเลิกภาษีที่ถูกท้าทายภายใต้กฎหมายดังกล่าว
• คำตัดสินนี้ส่งผลกระทบต่อแผนนโยบายการค้าของปธน.ทรัมป์ โดยเฉพาะการเก็บภาษีสูงกับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวยังสามารถยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ได้ คาดเรื่องอาจถูกส่งขึ้นไปถึง Supreme Court
ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงตอบรับในเชิงบวก
ตลาดหุ้น
• ตลาดหุ้นเอเชีย : ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น +1.5% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ +1.4% สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากความไม่แน่นอนด้านการค้าลดลง
• ฟิวเจอร์สหรัฐฯ : ดัชนี S&P 500 Futures +1.5% และ Nasdaq Futures +1.8% บ่งชี้ถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ค่าเงิน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
• ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ: กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิส เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยและหันมาถือครองสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี: เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.43% เป็น 4.47% สะท้อนถึงการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและความคาดหวังที่ลดลงต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในระยะใกล้
สินค้าโภคภัณฑ์
• ราคาทองคำ : ลดลงประมาณ 1% มาอยู่ที่ 3,263 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
• ราคาน้ำมันดิบ : เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ มาอยู่ที่ 62.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
มุมมองการลงทุน
• ตลาดหุ้น : ถึงแม้ว่าเรื่องภาษี Reciprocal Tariff จะยังทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอยู่
โดยทำเนียบขาวยังสามารถยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ได้ และเรื่องอาจถูกส่งขึ้นไปถึง Supreme Court แต่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงตอบรับในเชิงบวก
แสดงถึง sentiment ของนักลงทุนที่ลดความกังวล และผ่อนคลายมากขึ้น เนื่องจากเริ่มมีความชัดเจนขึ้นว่า ภาษีตอบโต้จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (หากยังสามารถบังคับใช้ได้) และตลาดได้รับข่าวไปมากพอสมควร
• ตลาดตราสารหนี้ : ในระยะสั้น คาดตลาดตราสารหนี้มีโอกาสปรับตัวผันผวนได้แต่อยู่ในกรอบที่จำกัด
ทั้งนี้ ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามวัฏจักร หากไม่มีนโยบายภาษีทางการค้า ดอกเบี้ยนโยบายก็ยังอยู่ในรอบขาลง ทำให้มีความน่าสนใจในการทยอยสะสม Buy on Correction สำหรับตราสารหนี้ หาก Yield ปรับตัวขึ้นถึงระดับเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี หากในที่สุดศาลตัดสินว่าฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ความกังวลด้านการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อจะลดลง ส่งผลให้ภาพรวม Bond Yield ปรับลดลงได้
• คำแนะนำการลงทุน
KAsset แนะนำให้ สามารถเริ่มทยอยลงทุน ในสินทรัพย์เสี่ยงเข้า Core และ Satellite Port ได้ โดยแนะนำกองทุนเด่น ดังนี้
สำหรับ Core Portfolio แนะนำ
• K-WPBALANCED / K-WPSPEEDUP / K-WPULTIMATE กระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหลายสินทรัพย์และภูมิภาคทั่วโลก พร้อมปรับกลยุทธ์อย่างคล่องตัว
สำหรับ Satellite Portfolio แนะนำ
• K-GSELECT กองทุนหุ้นโลก ที่ออกแบบพอร์ตมาให้รองรับทุกสถานการณ์ตลาด
• K-INDIA กองทุนหุ้นอินเดีย คุณภาพดี เติบโตสูง
• K-PROPI เน้นลงทุนใน REITs ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
• K-FIXED ลงทุนตราสารหนี้ไทยเท่านั้น เน้นหุ้นกู้คุณภาพดี
• K-FIXEDPLUS ลงทุนตราสารหนี้ไทย และต่างประเทศบางส่วนใน ETF ตราสารหนี้สหรัฐฯ