5/25/2025

ตลาด ESG ได้ประโยชน์อะไรบ้าง ในภาวะ Trade War

ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดของนักลงทุน ที่กำลัง Hot ไม่แพ้สภาพอากาศช่วงนี้คงหนีไม่พ้นประเด็นของ “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ🇺🇸 กับจีน🇨🇳 ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปี นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเกือบทุกประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศจีน ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจกันมาอย่างยาวนาน

แน่นอนว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบไปถึงกลุ่มธุรกิจของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านความยั่งยืน ซึ่งจีนถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลกในอุตสาหกรรมนี้ โดยมีประเภทสินค้าที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ คือกลุ่มโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่

ซึ่งในฝั่งของโซลาเซลล์ สหรัฐฯเพิ่งมีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าจาก 4 ประเทศที่เป็นฐานการผลิตของจีน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และไทย เพิ่มขึ้นถึง 3,521% ซึ่งกระทบต่อจีนโดยตรง และอาจทำให้เสียเปรียบในตลาดโซลาร์เซลล์ได้

ในขณะที่ทางฝั่งของแบตเตอรี่ จีนยังนับว่าได้เปรียบ เพราะเป็นผู้ผลิตลิเธียมเฟอร์โรฟอสเฟต (LFP) ซึ่งใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายอย่าง อีกทั้งจีนยังครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากที่แปรรูปแล้วถึง 87% ของโลก โดยมีแร่สำคัญอย่างดิสโพรเซียมและอิตเทรียม ที่มีบทบาทต่อการผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งหากมีปัญหานำเข้าสินค้าจากจีน ธุรกิจพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ อาจต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่

จะเห็นได้ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับผลกระทบร่วมกันในภาคส่วนของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในด้านการผลิตและการส่งออกระหว่างประเทศ

แต่ในทางกลับกัน “Trade War” กลับกลายมาเป็นหนึ่งในแรงหนุนสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเหล่านี้ 

1.การขยับขยายฐานตลาดพลังงานสะอาดของจีน 
การที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องเร่งการพัฒนาภายในประเทศ ร่วมกับการกระจายการขนส่งสินค้าและเทคโนโลยีของตัวเองไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อชดเชยดุลการค้าที่เสียไปกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า(EVs) ซึ่งเป็นสามสินค้าหลักด้านพลังงานสะอาดของจีน

โดยเป้าหมายสำคัญของจีน อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคต่างๆ เช่น เอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ที่กำลังมีความต้องการด้านพลังงานเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การส่งออกสินค้าด้านพลังงานสะอาดของจีน เช่น แผงโซลาร์ พลังงานลม และรถยนต์ไฟฟ้า(EVs) เติบโตขึ้นถึง 70%

นอกจากนี้ รายงาน World Energy Outlook ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ภายในปี 2030 กลุ่มกำลังพัฒนาจะครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% ในภาคพลังงานแสงอาทิตย์ และ 60% ในภาคพลังงานลมและแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน แสดงให้เห็นถึงโอกาสและการเติบโตที่น่าสนใจของตลาดพลังงานสะอาดระดับโลกในอนาคต และเป็นตัวเลือกที่ดีในการขยายตลาดใหม่ของจีน

2.การพัฒนาศักยภาพของคู่แข่งรายใหม่ด้านความยั่งยืน
สงครามการค้า ยังกลายเป็นโอกาสที่ดีของประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ได้เข้ามามีที่ยืนในตลาดพลังงานสะอาดมากขึ้น นอกเหนือจากจีน ซึ่งหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือ อินเดีย ที่มีกำลังการผลิตแผงโซลาร์เซลล์มากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยี ซึ่งอาจขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญกับจีน และคู่ค้ารายใหม่ของพลังงานสะอาดกับสหรัฐฯในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคืออินโดนีเซียและลาว ที่มีแนวโน้มขึ้นเป็นฐานการผลิตใหม่ของโซลาร์เซลล์ ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้อยกว่าจีน รวมถึงบราซิล ที่เป็นประเทศผู้ส่งออกหลักของไฮโดรเจนสีเขียวและเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญด้านความยั่งยืนที่กำลังเติบโตอย่างมากในขณะนี้

3.การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในตลาดพลังงานหมุนเวียน
ความขัดแย้งของสงครามการค้ากลายมาเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มมองหาความมั่นคง ด้วยการหันมาผลิตพลังงานใช้ภายในประเทศ แทนที่จะพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ความสำคัญของพลังงานสะอาดมีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะปลอดภัยกว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีต้นทุนที่ถูกในระยะยาวกว่าพลังงานฟอลซิล โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ EU ที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดอย่างมาก เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

ซึ่งจากรายงานของ BloombergNEF ระบุว่าปี 2050 ที่จะถึงนี้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 75% ในขณะเดียวกัน การเติบโตของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการแข่งขันในตลาด และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และจะเข้ามาตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้มากถึง 67%

จะเห็นได้ว่า แม้สงครามการค้าจะเป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่กดดันเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตของหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านความยั่งยืน ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ถึงเวลามาเสริมความมั่นคงให้พอร์ตของคุณ ด้วยการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านกองทุนยั่งยืน เพื่อนักลงทุนชาวไทยโดยเฉพาะ

กองทุน “Thai ESG”
กองทุนเพื่อความยั่งยืนตามแนวทาง ESG เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ทั้งปี และซื้อได้ไม่เกิน 300,000 บาท)

มีให้เลือกถึง 3 กองทุน ได้แก่

▪️K-ESGSI-ThaiESG :
เพิ่มโอกาสทำกำไรระยะยาวกับกองทุนตราสารหนี้ Thai ESG ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐเพื่อความยั่งยืน ความเสี่ยงเครดิตต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต

▪️K-BL30-ThaiESG :
ลงทุนแบบครบจบ ลดความผันผวน ด้วยกองทุนผสม Thai ESG ที่คัดมาแล้วว่าดี ด้วยกระบวนการคัดกรองเชิงบวก (Positive Screening)ในกลุ่มตราสารหนี้ไทย และเลือกลงทุนหุ้นไทยที่มีคะแนน SET ESG Ratings อยู่ในระดับ AAA มากกว่า 50% เท่านั้น

▪️K-TNZ-ThaiESG :
ลงทุนเพื่ออนาคตโลก ด้วยกองทุนหุ้น Thai ESG ที่มุ่งเน้นลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) สร้างผลตอบแทนระยะยาวใกล้เคียงดัชนี SET100 TRI​
ถึงเวลาเสริมความแกร่งให้พอร์ต ด้วยการลงทุนที่ยั่งยืนและตอบโจทย์โลกอนาคต 
▪️ เทรนด์ Sustainability กำลังเติบโต
▪️ โอกาสรับผลตอบแทน พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี
▪️ กองทุนคัดมาแล้ว ตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงและความยั่งยืน


ที่มา: บลจ.กสิกรไทย 

ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2025​


คำเตือน : กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​

Yes
5/25/2025
0
situation