8/10/2022

กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% วางแผนลงทุนยังไง?​

​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​


จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก เลือกการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยเองก็เลือกใช้เครื่องมือนี้เช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด เพื่อลดแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน​ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยขึ้นไปอยู่ที่ 0.75%​

"ดังนั้น ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังเป็นขาขึ้น นักลงทุนควรปรับพอร์ตลงทุนในส่วนของตราสารหนี้ ด้วยการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนทีเพิ่มขึ้น" 
จากการที่กองทุนนำเงินที่ถือตราสารหนี้จนครบอายุ และได้ผลตอบแทนจากเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวน ไปลงทุนต่อ (Roll Over) ในตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น

InfoGraphic-คาด-กนง.jpg 

เมื่ออัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น ทำไมราคาตราสารหนี้จึงปรับลดลง? 
ตัวอย่างตราสารหนี้ 1 ปี มีการจ่ายดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon) 3.5% ต่อปี เท่ากันกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด แต่ต่อมาอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้นเป็น 5% ดังนั้นตราสารหนี้ที่ออกใหม่ในตลาดจึงต้องขายที่ดอกเบี้ย 5% เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุน

ขณะเดียวกัน ตราสารหนี้ตัวเดิมที่จ่ายดอกเบี้ย 3.5% ก็จะมีความน่าสนใจน้อยกว่าตราสารหนี้ตัวใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5% ดังนั้น การที่จะขายตราสารหนี้ที่มีดอกเบี้ย 3.5% ได้ ผู้ขายก็จะต้องปรับลดราคาลง หรือขายในราคา discount (สมมุติตราสารมีอายุและความเสี่ยงเท่ากัน) 

"โดยสรุป หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวขึ้น ตราสารหนี้ที่ออกใหม่จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่า และเป็นที่สนใจมากกว่า" 
ส่วนราคาตราสารหนี้ตัวเดิมที่ออกมาก่อนหน้าก็จะมีการซื้อขายในราคาที่ต่ำลง ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลง ตราสารหนี้ใหม่ในตลาดจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่า จึงมีความน่าสนใจน้อยกว่า ราคาตราสารหนี้ตัวเดิมก็จะมีการซื้อขายในราคาที่สูงขึ้น 

การจัดพอร์ตลงทุนผ่านตราสารหนี้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น 
ควรดูอัตราดอกเบี้ยเป็นสำคัญ เพราะมีผลต่อมูลค่าของพอร์ตลงทุน โดยหากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นยิ่งทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนปรับลดลง ก็ให้ลดอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ลง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากมูลค่าพอร์ตลดลง 

หรือเมื่อลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น อายุ 1 ปี และเมื่อครบกำหนดอายุ ก็ทำการลงทุนใหม่ไปเรื่อย ๆ (Roll Over) โดยการลงทุนในลักษณะนี้นอกจากจะมีความเสี่ยงของการลงทุนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำตามอายุของตราสารแล้ว การ Roll Over จะช่วยทําให้ไม่เสียโอกาสในการรับดอกเบี้ยที่ระดับใหม่ หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้น​

เลือกลงทุน กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือหุ้นกู้เอกชน อะไรดีกว่ากัน?
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักเงินระยะสั้น และอยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน เป็นผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ จุดเด่นคือ มีความยืดหยุ่นสามารถทำการซื้อขายได้ทุกวันทำการ เริ่มต้นลงทุนเพียง 500 บาท ผ่านแอป K-My Funds 

หุ้นกู้เอกชน
คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท โดยมีอายุประมาณ 2-5 ปี(หรือมากกว่า) และผลตอบแทนจะอยู่ในรูปของดอกเบี้ย จุดเด่นคือได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน ข้อควรระวังคือ นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงเอง จากอันดับความน่าเชื่อถือ และผลประกอบการของบริษัท และมีความยืดหยุ่นต่ำ ต้องใช้เงินก้อนซื้อ และถือหุ้นตามอยุสัญญา 2-5 ปี หากต้องการขายก่อนอายุสัญญาสามารถไปเปิดพอร์ทซื้อขายในตลาดรอง (BEX) ได้ด้วยตนเอง

เมื่อทราบข้อดีและข้อเสีย ของการลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และหุ้นกู้เอกชนแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงของตนเองได้เลย อนึ่ง บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน 


บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย 
ที่มา : www.setinvestnow.com
ข้อมูล ณ วันที่ 10 ส.ค. 2565​​​

หมายเหตุ "ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน"

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
เช็คสิทธิลดหย่อนภาษี ฉบับมนุษย์เงินเดือน​ >>Click
Technical Recession ที่สหรัฐฯ ลงทุนไงดี​  >>Click
ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ย สูงกว่าตลาดคาดการณ์ >>Click​

​​
Yes
8/10/2022