มีความกังวลว่า ปีนี้ เศรษฐกิจจีนอาจเติบโตไม่ถึงเป้าหมาย 5.5% ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เงินเฟ้อสูง การใช้นโยบาย Zero Covid ส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาหนี้สินของภาคอสังหาริมทรัพย์
เดือนเม.ย.-พ.ค. 2022 น่าจะเป็นช่วงต่ำสุดของเศรษฐกิจจีน และจากนี้ไปจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่อาจช้า เพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้มีการเปิดๆปิดๆเมืองเป็นระยะๆ แต่ไม่มีการปิดเมืองนานเหมือนก่อนหน้านี้ และรัฐบาลกำลังพยายามอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ความขัดแย้งจีน-สหรัฐฯ ในกรณีไต้หวันอาจส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่หากมองในมุมของทั้งสหรัฐฯและจีน ในเวลานี้อยากที่จะโฟกัสกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การทำสงครามการค้าอาจยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯทวีความรุนแรง ขณะที่ฝั่งจีนยังคงต้องการผลักดันให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า
ปัจจัยที่ต้องจับตามองช่วงครึ่งปีหลัง
ในช่วงไตรมาส 3 จะมีการ Rollover Debt ภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน อาจทำให้บางบริษัทที่มีปัญหาหนี้มหาศาลไม่ได้ไปต่อ รัฐบาลจีนมุ่งมั่นกับการแก้ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และจะเข้าไปช่วยเหลือบริษัทที่ยังมีความสามารถดำเนินกิจการต่อไป
ด้านเวียดนาม หากดูจากปัจจัยภายในประเทศยังดูดีทั้งแง่เศรษฐกิจที่ GDP แข็งแกร่ง และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูง ข่าวร้ายต่างๆมีแนวโน้มดีขึ้น จึงคาดว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะฟื้นตัวได้ดี บนสมมติฐานที่ตลาดโลกไม่ขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็วเหมือนที่ผ่านมา เงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย รวมทั้งปัญหาจีน-สหรัฐฯ ก็จะไม่แรงกว่านี้
ถึงเวลาซื้อหุ้นเวียดนาม-จีนหรือยัง?
ตลาดหุ้นเวียดนาม
ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม จากราคาที่ย่อลงไปมาก เศรษฐกิจและกำไรบริษัทเติบโตโดดเด่น คาดจะเห็นปัจจัยหนุนเข้ามาเรื่อยๆ แนะนำให้มีหุ้นเวียดนามอยู่ในพอร์ตลงทุนประมาณ 5-10% ของสัดส่วนพอร์ตหุ้น ขึ้นอยู่กับความสามารถรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามต้องทนความผันผวนระยะสั้นให้ได้ แนะนำให้ลงทุนยาวอย่างน้อย 3 ปี ไม่ควรลงทุนระยะสั้นแบบเทรดเข้า-ออกไว
แนะนำกองทุน K-Vietnam :
ลงทุนตรงในหุ้นเวียดนามประมาณ 70-80% เน้นหุ้นรายตัวที่เป็นบริษัทชั้นนำในประเทศเวียดนาม และ สอดคล้องกับ Core Investment Theme เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค จาก wealth ของประชาชนที่จะโตสอดคล้องกับ GDP ส่วนอีก 20-30% ลงทุนผ่านกองทุนชั้นนำระดับโลก
ตลาดหุ้นจีน
ตอนนี้เป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นจีน ซึ่งถือว่าราคาถูกหากดูจาก P/E และรัฐบาลจีนก็ส่งสัญญาณผ่อนคลายการควบคุมภาคธุรกิจมากขึ้น อีกทั้งทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แนะนำมีหุ้นจีนในพอร์ตไม่เกิน 25% ของสัดส่วนพอร์ตหุ้น
แนะนำกองทุน K-CHX :
ลงทุนหุ้นจีนขนาดใหญ่ที่สุด 50 ตัวแรกในตลาด A-Share ผ่านกองทุนหลัก CSOP FTSE China A50 ETF
“คำแนะนำการลงทุน : หากผู้ลงทุนถือยาวได้ 3-5 ปี ตลาดจีนและเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่น่าลงทุน จากราคาของหุ้นที่ปรับตัวลงไปมากแล้ว”