
ตอนที่ 8 : บทสรุป มุมมองการลงทุนหลังเลือกตั้ง และชัยชนะ 'ทรัมป์ 2.0'
ตอนนี้เรามาถึง EP. สุดท้ายแล้วกับบทความเลือกตั้งสหรัฐฯ หลังผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ปรากฎว่าอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 538 คะแนนแล้ว และจะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025
ส่วนการเลือกตั้งสภาสูง (Senate) และสภาล่าง (House of Representatives) พรรครีพับลิกันก็ได้เสียงข้างมากไปในทั้งสองสภา หรือที่เรียกว่า “Red Sweep" ซึ่งจะทำให้การผ่านกฎหมายและการผลักดันนโยบายต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น
ตลาดการเงินส่งสัญญาณอย่างไร หลังผลเลือกตั้ง
ในวันที่ตลาดรับรู้ผลเลือกตั้งวันที่ 6 พ.ย. จะเห็นได้ว่า ดัชนี VIX Index หรือค่าความผันผวนปรับลดลงทันที ส่วนตลาดหุ้นทั้งฝั่งสหรัฐฯและเอเชีย ต่างปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นักลงทุนมองว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ สวนทางกับตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลง จากการคาดการณ์ของตลาดว่าทรัมป์จะใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น นำไปสู่สงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคส่งออกได้รับผลกระทบโดยตรง
ด้าน Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.4% (ณ วันที่ 6 พ.ย.) เนื่องจากกังวลเรื่องการขาดดุลทางการคลัง และหนี้ของสหรัฐฯ ที่จะสูงขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งจะทำให้อุปทานพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น บวกกับตลาดมองว่า เงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจจะกลับมาเร่งตัวขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้า และการกีดกันแรงงานผู้อพยพ จนทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลง
มุมมองการลงทุนระยะถัดไป 'เมื่อความแน่นอน คือไม่แน่นอน'
ตลาดหุ้นโลกน่าสนใจ
KAsset มองว่าการที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2025 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ถึง 15% โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกต่อเนื่องจากความคาดหวังของมาตรการลดภาษีนิติบุคคล และการผ่อนคลายกฎเกณท์ต่างๆ ซึ่งจะเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้กับบริษัทจดทะเบียน
ที่น่าสนใจคือ ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีของหุ้นขนาดเล็ก มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงวันที่ 6 พ.ย. เนื่องจากตลาดคาดหวังว่าบริษัทขนาดเล็กที่เน้นตลาดภายในประเทศ จะได้ประโยชน์จากชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากมีแนวทางนโยบายที่ล้วนหนุนเศรษฐกิจในประเทศ เช่น การทำให้กฎหมายลดภาษีรายได้นิติบุคคล และภาษีรายได้บุคคลเป็นกฎหมายถาวร จากที่กำลังจะหมดอายุในปลายปี 2025 เป็นต้น
'ในปัจจุบัน KAsset จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้น้ำหนักตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น Overweight' จากกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และจะกระจายในหลาย Sector มากขึ้น ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่น่าสนใจ
KAsset มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความน่าสนใจ จาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี บวกกับเศรษฐกิจมีทิศทางการเติบโตในระดับสูงต่อไป และกำลังจะได้อัพเกรดสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) มาเป็นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Secondary Emerging Market) ของ FTSE ภายในปี 2025
แต่มองไปในระยะถัดไปในปีหน้า แนวนโยบายของทรัมป์มีโอกาสเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดหุ้นโลกได้ จากมาตรการกีดกันทางการค้า และความเสี่ยงจากดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง (High for Longer) หากเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ และทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลง
ซึ่งความไม่แน่นอนดูเหมือนจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง หลังทรัมป์เริ่มประกาศรายชื่อผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานสำคัญของรัฐบาล อาทิ Michael Waltz เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง แต่เนื่องจาก Waltz เป็นผู้ที่ถูกมองว่ามีแนวทางสายเหยี่ยว คือมีท่าทีที่เข้มงวดต่อประเทศที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ อย่างเช่นจีน ที่ Waltz เคยเรียกร้องให้สหรัฐฯ คว่ำบาตรการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2022 เป็นต้น สะท้อนแนวนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะเข้มงวดต่อจีนมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งให้อีลอน มัสก์ คุมกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ที่มีชื่อว่า DOGE (Department of Government Efficiency) หรือกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลที่มุ่งเน้นการลดขั้นตอนกฎระเบียบของรัฐที่ไม่จำเป็น การลดรายจ่าย และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
ตลาดตราสารหนี้
Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากการคาดการณ์ของตลาดว่าทรัมป์จะมีแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยในปี 2025 ได้น้อยลง
ซึ่งประเด็นนี้เหล่านี้จะกดดันให้ Yield ของพันธบัตรสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลงมาได้น้อยลงกว่าที่เคยคาดไว้ กดดันราคาของตราสารหนี้ จึงแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย หรือกองทุนตราสารหนี้ที่กระจายการลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากจะมีความผันผวนน้อยกว่า
สุดท้ายแล้ว อย่างที่กล่าวมาในหลายๆ ตอนที่ผ่านมา ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และนโยบายการเงิน มักจะมีความสำคัญต่อแนวโน้มตลาดมากกว่าผลการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเน้นพิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐานและภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และเน้นกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ หลายประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุน พร้อมกับลดความผันผวนของพอร์ต
โดย KAsset แนะนำจัดพอร์ตเป็นแบบ Core-Satellite และพิจารณาเพิ่มสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากหุ้น และตราสารหนี้ อาทิกองทุน REITs เพื่อลดความเสี่ยง และทำให้พอร์ตมีความสมดุลมากขึ้น
บทความโดย
คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, Chief Investment Officer. บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ย. 2567
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
สรุป 5 ข้อโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง >>Click
ทรัมป์ vs แฮร์ริส นโยบาย Climate Change >>Click
จากโจ ไบเดน …สู่ กมลา แฮร์ริส >>Click
สงครามการค้า กลับมาร้อนระอุ อีกครั้ง? >>Click
จับตานโยบายการคลังสหรัฐฯ >>Click
เส้นทางสู่การเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 47 >>Click