โดยรวม บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุมมองว่าสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงในภาคธนาคาร ล่าสุด First Republic Bank เป็นธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯรายที่สองที่ประสบปัญหา และ JPMorgan Chase & Co. ได้มาเข้าซื้อกิจการ ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงถัดไปจึงจะมีความยากลำบากมากขึ้นในการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ผลของการขึ้นดอกเบี้ยสะสมมาถึง 5% ณ ปัจจุบัน เริ่มส่งผลต่อต้นทุนของทุกภาคส่วน เริ่มเห็นการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทลง และคาดการณ์กำไร (EPS) ในปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อนหน้า จึงยังคงมุมมอง Slightly Negative สำหรับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ
แนะนำกองทุนหุ้นจีน : K-CHINA, K-CHX, K-CCTV
กองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี : K-CHINA-SSF และ RMF
เหมาะกับผู้ลงทุนที่อยากเติบโตไปกับหุ้นจีนระยะยาว จากเศรษฐกิจเป็นภาพของการฟื้นตัวชัดเจน ดัชนีชี้วัดต่างๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับผู้ลงทุนที่ รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
แนะนำกองทุนผสม : K-PLAN2, K-PLAN3
เหมาะสำหรับ นักลงทุนที่ยังมีความกังวลในหุ้น และไม่อยากลงทุนในหุ้นทั้งจำนวน การที่กองทุนเน้นลงทุนในประเทศ จะได้รับผลกระทบจำกัดจากปัจจัยต่างประเทศที่ผันผวนในปัจจุบัน
กองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี : K-GINCOME-SSF และ RMF
เหมาะสำหรับ นักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ทั่วโลก และ K-GINCOME-SSF ยังมีนโยบายจ่ายปันผล ปีละ ไม่เกิน 4 ครั้ง
สำหรับผู้ลงทุนที่ รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้
ระยะสั้น K-SF (ถือมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป), K-SFPLUS (ถือมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป)
ระยะกลาง K-CBOND, K-PLAN1 (ถือมากกว่า 1 ปีขึ้นไป)
ระยะยาว K-FIXED, K-FIXEDPLUS (ถือมากกว่า 1.5 ปีขึ้นไป)
กองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี : K-SF-SSF และ RMF
กองทุนเซฟภาษีความเสี่ยงต่ำ ที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชน โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
ทั้งนี้ KAsset มีมุมมองบวกมากขึ้น ต่อการลงทุนในกองตราสารหนี้ระยะยาว (2-3 ปี) เนื่องจากในช่วงภาวะดอกเบี้ยทรงตัว/เข้าใกล้ขาลง กองทุนจะได้ประโยชน์จาก Capital Gain (ราคาตราสารปรับขึ้น) จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนจะสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและสั้นอย่างมีนัยยะ