9/14/2022

คำแนะนำการลงทุน หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งเกินคาด และนักลงทุนกังวล Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรง

HIGHLIGHTS :
​• เงินเฟ้อสหรัฐฯเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้น 8.3% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
• Fed ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด และดึงสภาพคล่องออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง
• ตลาดหุ้นสหรัฐฯตอบรับเชิงลบ ปรับตัวลงอย่างรุนแรง
• KAsset ยังคงมุมมอง Neutral และยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน ส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อทั่วไปเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 8.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 8.1% ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 6.3% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.1% เช่นกัน หากเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. จะพบว่าดัชนีเงินเฟ้อทั่วไปมีสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อยจากระดับ 8.5% เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของราคาพลังงาน ส่วนราคาอาหารยังคงปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับราคาค่าเช่าบ้าน รถยนต์และการให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานนั้นเร่งตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก.ค. ที่ขยายตัวเพียง 5.9% 

Fed ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวด
รายงานเงินเฟ้อเดือนส.ค. ประกอบกับรายงานดัชนีภาคการบริการก่อนหน้านี้ ที่ยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น รวมถึงภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนว่าการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออาจไม่สามารถทำได้โดยง่ายรวมถึง ธนาคารกลางสหรัฐฯต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น และต่อเนื่องเป็นเวลานาน 

“ดังนั้น ตลาดจึงคาดการณ์ว่า Fed จำเป็นจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการดึงสภาพคล่องออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง” 

รายงาน CME FedWatch Tool ซึ่งรายงานคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ชี้ว่าในการประชุมวันที่ 21 ก.ย. นี้ มีโอกาสสูงถึง 38% ที่จะเห็น Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1% และมีโอกาส 62% ที่จะเห็น Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.75%  ขณะที่ไม่มีโอกาสที่จะเห็น Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% 

ซึ่งก่อนหน้าการรายงานเงินเฟ้อเมื่อคืนนี้ ไม่มีนักวิเคราะห์รายใดที่คาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% แต่อย่างใด ขณะที่การประชุมเดือนพ.ย. มีโอกาส 50% ที่จะเห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% และหากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่อาจเห็นได้ในปีหน้า ตัวเลขคาดการณ์ขยับขึ้นจากระดับ 3.75 – 4.00% ในเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ 4.25 – 4.50% ในเช้าวันนี้ 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในด้านลบอย่างรุนแรง
ทันทีที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเมื่อคืนนี้ (13 กันยายน) ดัชนี Futures ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกจากในแดนบวกมาติดลบเกือบ -2% ในทันที ก่อนที่ตลาดหลักของสหรัฐฯจะเปิดซื้อขายและเกิดแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ณ สิ้นวัน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงแรงถึง -4.32% และดัชนี Nasdaq -5.16% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงขายออกมามากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ผลตอบแทนของทั้งสองดัชนีข้างต้นเมื่อคืนนี้ถือว่าทำได้แย่ที่สุดนับแต่เดือนมิ.ย. 2563 

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ขยับขึ้นจากระดับประมาณ 3.3% มาอยู่ที่ 3.45% ในเช้าวันนี้ สำหรับตลาดหุ้นเอเชียในเช้าวันนี้ เปิดในแดนลบเช่นกัน โดยทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ต่างเปิดในแดนลบกว่า -2% ด้านตลาดหุ้นจีนเปิดตลาดติดลบน้อยกว่า -1%

ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำปรับตัวลงหนัก ตัวอย่างเข่น Amazon -7.06%, Meta (Facebook) -9.4%, Microsoft -5.5% และ NVIDIA -9.5% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารที่อาจได้ประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงราว -3.5% ถึง -5.0% เช่นกัน 

มุมมอง และ คำแนะนำการลงทุน
คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังผันผวนในช่วงก่อนการประชุม Fed สัปดาห์หน้า ทั้งนี้ หากพิจารณาจากตัวเลขภาคแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ตอกย้ำว่า Fed จะยังต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นและต่อเนื่องเป็นเวลานาน การที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีโอกาสการทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น 

KAsset ยังคงมุมมอง Neutral ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (K-USA, K-USXNDQ, K-US500X) 
จากผลการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวต่อเนื่องของ Fed ทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่าโอกาสที่สหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นไปที่ 50% และ KAsset ประเมินว่าคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสถูกปรับลงได้อีกจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการชะลอตัวของอุปสงค์ที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

นักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุน : ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เนื่องจากความผันผวนในตลาดจะยังมีสูง โดยต้องติดตามการประชุม Fed ในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ รวมถึงพัฒนาการของเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
 
นักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯอยู่ : สามารถถือต่อไปได้สำหรับการลงทุนระยะยาว จากปัจจัยสนับสนุนด้านราคาที่ปรับตัวลงมาอยู่ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว

บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 14 ก.ย. 2565​

หมายเหตุ "ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน"


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
กนง. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย >> อ่านต่อ
ภาวะ Technical Recession >> อ่านต่อ
ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูง >> อ่านต่อ​



​​​​​
Yes
9/14/2022