https://192.168.19.136:2583/SiteCollectionImages/2023/Market%20tigger/09-Core-Satellite-Portfolio_BN.jpg
“ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้ลดลงไปแล้ว หรือถ้าเกิดก็จะเป็นแบบบาง”
บทสรุปบางส่วน จากงานสัมมนา “KAsset Investment Forum 2024” สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่
ในส่วนของดอกเบี้ยสหรัฐฯ ได้เข้าสู่จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยแล้ว Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งหนึ่งก่อนสิ้นปีนี้ แล้วจะหยุด โดยไม่คิดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงเร็ว แต่จะ Stay High for Longer เพื่อรอดูแล้วให้ดอกเบี้ยระดับสูงเยียวยาตัวเอง ช่วยกดดอกเบี้ยให้ลงมาอีกสักพัก ตัวเลขการว่างงานอาจจะปรับขึ้นได้อีก เศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดย Fed คงดูว่าดอกเบี้ยระดับ 5.5% จะเอาเศรษฐกิจอยู่หรือไม่ ถ้าเอาไม่อยู่ ก็พร้อมที่จะลดดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งช่วงกลางปีหน้า
จากสถิติที่ผ่านมา เมื่อ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากนั้น 3-6 เดือน ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 จะเป็นบวก 7-15% เป็นช่วงที่รีเทิร์นสูงสุด ถ้าเป็น 12 เดือน จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 19% อัตราการเพิ่มขึ้นจะน้อยลง แต่ก็เป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่นั่นเอง
ในส่วนของเทรนด์การลงทุน จากข้อมูลของ Deutsche Bank พบว่า เงินลงทุนในธุรกิจ ESG 30 Trillion ในวันนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 Trillion ในอีก 20 ปีข้างหน้า จากการที่บริษัทชั้นนำระดับโลก เริ่มมองหาคู่ค้าที่เป็น ESG เช่นเดียวกับ KAsset ที่เล็งเห็นความสำคัญ และเริ่มพัฒนาการลงทุนใน ESG มาตั้งแต่ปี 2013 และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบัน KAsset เป็นผู้นำในตลาดการลงทุนแบบ ESG และก็มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์การลงทุน ESG ในอนาคตอีกด้วย
คำแนะนำการลงทุน
ปัจจุบันตลาดอยู่ในช่วง Late Cycle ภาพตลาดแรงงานจะค่อยๆ ซอฟต์ลง ตัวเลขเศรษฐกิจจะค่อยๆ อ่อนลง การว่างงานจะค่อยๆ สูงขึ้น เงินเฟ้อชะลอมากขึ้น แต่นักลงทุนยังต้อง Stay Invested
ทั้งนี้ พบว่า “หุ้นโลก” ยังคงให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12 เดือน หลังเกิด Late Cycle เฉลี่ย 6.62% ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ โดยมี 2 ตลาดที่นักลงทุนไทยยังลงทุนน้อยไป ได้แก่ “หุ้นสหรัฐฯ” และ “หุ้นอินเดีย” ที่กำลังจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงสุดในเอเชีย โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตถึง 5% ต่อปี เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งถือเป็น 2 ตลาดที่น่าสนใจ และควรมีติดพอร์ตไว้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี
แนะนำการจัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ “Core and Satellite” โดยแบ่งสัดส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 : Core Portfolio
เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 70-80% ของพอร์ตผ่านกองทุนผสมของกสิกรไทย
แนะนำกองทุน K-GA, K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3 กองทุนผสมที่กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์
ส่วนที่ 2 : Satellite Portfolio
เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20-30% ของพอร์ต โดยเลือกลงทุนตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
แนะนำกองทุน K-USA และ K-INDIA ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในสหรัฐฯ และอินเดียอยู่ในระดับสูง
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com
บทความโดย
คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์,CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน
คุณมทินา วัชรวราทร,CFA Head of Investment Strategy
ข้อมูล ณ วันที่ 12 กันยายน 2023
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
จัดพอร์ตลงทุนให้โตไว ด้วยกลยุทธ์ Core-Satellite >>
Clickเมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ...แต่ไม่ชัดว่าเป็นครั้งสุดท้าย >>
Clickสรุปสัญญาณ จากประชุม Politburo ของจีน >>
ClickGDP จีนไตรมาสแรกขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด >>
Click