คำถาม 1 : ทำไม Core-Satellite Portfolio ถึงเหมาะกับนักลงทุนไทยเป็นพิเศษ
คุณรู้หรือไม่? จริงๆ แล้ว การจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite เป็นพอร์ตโมเดลที่นักลงทุนทั่วโลกนำไปใช้อย่างค่อนข้างแพร่หลาย ข้อดีของพอร์ตแบบนี้ คือ
1. มีความยืดหยุ่นสำหรับคนไทยที่ต้องการ trading เพื่อหากำไรเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างเช่น สำหรับนักลงทุนไทยที่ชอบลงทุนในบริษัทไทย ก็สามารถลงทุนหุ้นรายตัวเพิ่มเติมได้ แต่ในสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก
2. Core-Satellite จะเป็นการเพิ่มวินัยให้กับนักลงทุน
เนื่องจากในส่วน Core Portfolio จะเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ปรับเปลี่ยนบ่อย ทำให้เราสามารถเพิ่มระยะเวลาการลงทุนได้นานขึ้น ลดโอกาสในการขาดทุนได้มากขึ้น
![core-satellite-port1.png](/th/market-update/PublishingImages/Pages/HotTopic-20240510-core_satellite_portfolio/core-satellite-port1.png)
![](file:///C:/Users/piyada.pro/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image002.jpg)
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า หากท่านลงทุน 100% ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี S&P 500) ท่านมีโอกาสขาดทุนในปีแรกสูงถึง 37% แต่หากท่านเพิ่มระยะเวลาการลงทุนเป็น 5 ปี จะทำให้สามารถลดการขาดทุนได้เหลือเพียง 2% และหากจัดพอร์ตแบบง่ายๆ เช่น กระจายความเสี่ยงระหว่างหุ้นกับพันธบัตร และถือเป็นระยะเวลา 5 ปี จะไม่มีความเสี่ยงในการขาดทุนเลย
คำถาม 2 : ทำไมสัดส่วนของ Core-Satellite Portfolio จะต้องเป็น 80% / 20% “เราสามารถปรับสัดส่วน ได้หรือไม่ ?"
สัดส่วน 80/20 เป็นสัดส่วนที่ออกแบบมาสำหรับ Core Portfolio 80% และ Satellite Portfolio 20% เนื่องด้วยเหตุผลว่า…
หากน้ำหนักพอร์ตในส่วน Satellite เยอะมากไปกว่านี้ จะทำให้ผลตอบแทนของส่วน Satellite เข้ามามีผลกระทบต่อผลตอบแทนระยะยาวของ Core Portfolio
เช่น หากส่วนของ Core Port ทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ 8% ขณะที่ส่วนของ Satellite ขาดทุน 10% ถ้า Satellite มีสัดส่วนเพียง 20% จะส่งผลกระทบโดยรวมต่อพอร์ตเพียง 2% เท่านั้น
แต่หากสัดส่วนของ Satellite เพิ่มเป็น 40% จะทำให้ผลขาดทุนต่อพอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 4% ซึ่งจะเริ่มมีนัยยะต่อผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวม
คำถาม 3 : การมี Satellite ช่วยเพิ่มผลตอบแทนต่อพอร์ตได้อย่างไร สำหรับคนที่ไม่มีเวลา สามารถเลือกที่จะไม่ลงทุนใน Satellite ได้หรือไม่ ?
หากดูจากพอร์ตจำลองด้านล่าง จะเห็นว่า การมี Satellite จะช่วยเพิ่ม Sharpe Ratio (ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยง) ต่อพอร์ตโฟลิโอได้ (จุดสีเขียวจะสูงกว่าจุดเทาในทุกความเสี่ยง) นั่นก็แปลว่า การที่เราเลือกลงทุนใน Satellite อย่างเหมาะสม จะช่วยทั้งเพิ่มผลตอบแทน และลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตของเราได้
“ทั้งนี้ นั่นเป็นเพราะทาง KAsset แนะนำว่าในส่วนของ Satellite ควรจะมีกองทุนที่มีความสัมพันธ์กับ Core Portfolio น้อยกว่า 0.6 อยู่ด้วย จะทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตลดลง และยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนระยะสั้นได้"
ตัวอย่างพอร์ตจำลอง
![](file:///C:/Users/piyada.pro/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image004.jpg)
![core-satellite-port2.png](/th/market-update/PublishingImages/Pages/HotTopic-20240510-core_satellite_portfolio/core-satellite-port2.png)
“สุดท้ายแล้ว ท่านสามารถเลือกที่จะจัดพอร์ตในรูปแบบที่เข้ากับสไตล์การลงทุนของท่าน"
แต่สิ่งที่สำคัญคือ การยึดมั่นในหลักการจัดพอร์ตอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงทุนระยะยาว และหลังจากที่ท่านเลือกเครื่องมือในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้ท่านได้ดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตบ่อย จะทำให้ท่านสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุน
![](file:///C:/Users/piyada.pro/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image006.jpg)
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com
บทความโดย KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2567
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
จัดพอร์ตลงทุนด้วยกลยุทธ์ Core-Satellite Portfolio >>Click
พอร์ตกองทุนประหยัดภาษี เงินเกษียณก้อนใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม >>Click
จัดพอร์ตแบบ De-Risking เทคนิคเกษียณง่าย >>Click
เลือกกองทุน Core Portfolio อย่างไร? >>Click