8/15/2024

มุมมองการลงทุน หลังนายกฯและครม. หลุดเก้าอี้ยกทีม

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกฯ ส่งผลให้ ครม. หลุดทั้งคณะ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) และเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลง รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วยเช่นกัน

 

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี และสั่งให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ดัชนี SET ช่วงบ่ายวันที่ 14 ส.ค. ปรับตัวลดลงกว่า 15 จุด  (-1.17%) ก่อนที่ท้ายตลาดลดช่วงลบลง โดยกลับมาปิดตลาดปรับตัวลง 5.10 จุด (-0.39%) ณ 14 ส.ค. 2567

 ​

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กสิกรไทย

ประเด็นทางการเมือง และผลต่อการลงทุน แยกเป็น 2 สถานการณ์ ดังนี้

 

กรณีที่ 1 : สามารถเลือกนายกฯ ได้วันที่ 16 ส.ค นี้

โดยยังเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำเช่นเดิมนั้น คาดว่าระยะเวลาในการได้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ประมาณ 1 เดือนหลังจากนี้ ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ จะมีการชะลอกว่ากรณีเดิมเล็กน้อย จากการที่งบการเบิกจ่ายภาครัฐฯ ช่วง ส.ค. - ก.ย. ลดลง และความเชื่อมั่นด้านผู้บริโภคในเงิน Digital Wallet ลดลง โดย GDP ปีนี้ คาดจะเติบโตประมาณ 3.0% (ในกรณีรวม Digital Wallet) และการผ่านงบประมาณปี 2568 น่าจะล่าช้าไม่มาก

 

โดยกรณีนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะพักฐานรอผลการจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ และการแถลงนโยบาย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน อย่างไรก็ดี คาดว่าตลาดหุ้นจะมี downside จำกัดได้ จากผลประกอบการบริษัทที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด รวมถึง Valuation ที่ปัจจุบันเป็น laggard และมีเม็ดเงินสนับสนุนจากโครงการวายุภักดิ์ช่วงปลายปีนี้ คาดว่าเป้าดัชนี SET ปีนี้ (ในกรณีนี้) ลดลงมาที่ประมาณ 1,400 จุด และยังคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นไทย

 

กรณีที่ 2 : ไม่ได้นายกฯในวันที่ 16 ส.ค. นี้

คาดว่าจะใช้เวลานานไปถึงไตรมาส 4 ซึ่งในด้านเศรษฐกิจ ถือว่ากระทบความเชื่อมั่นทั้งภาคเอกชน ผู้บริโภค และการเบิกจ่ายภาครัฐ รวมถึงนโยบาย Digital Wallet ซึ่งจะทำให้ภาพการเร่งตัวขึ้นของ GDP ในครึ่งหลังของปีนี้ ชะลอลงกว่าคาดมาก GDP อาจเติบโตน้อยกว่า 2.5% ได้ และนำไปสู่สุญญากาศเช่นเดียวกับปลายปีที่แล้ว

 

โดยกรณีนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะเกิดความกังวลอย่างมาก จากการไม่มีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน และ downside ของตลาดจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด ซึ่งเป็นระดับ P/E ที่ตลาดปรับลงเช่นเดียวกับช่วงโควิด และมีมุมมอง Negative ในกรณีนี้

 

บทความโดย บลจ.กสิกรไทย

ข้อมูล ณ 15 สิงหาคม 2567

 

คำเตือน ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ตลาดหุ้นปรับฐาน "โอกาสสะสมสินทรัพย์เสี่ยง" >>Click

มุมมองต่อหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ >>Click

Fed และ กนง. คงดอกเบี้ยตามคาด  >>Click

ECB ลดดอกเบี้ยครั้งแรก ในรอบ 5 ปี >>Click

วันแดงเดือด ตลาดหุ้นญี่ปุ่น!! >>Click

Yes
8/15/2024
none