หุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากยังคงไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนในระยะสั้น โดยความกังวลยังมาจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก คือ ผลประกอบการไตรมาส 4/2023 ที่กำลังจะทยอยออกมาน่าจะยังคงอ่อนแอ เนื่องจากจะเป็นผลประกอบการที่ยังสะท้อนภายเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าคาด
รวมทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าและความไม่แน่นอนของโครงการ Digital Wallet ขณะเดียวกันปัจจัยนอกประเทศที่ยังเข้ามากดดันเพิ่มเติมความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และการที่ Fed อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดเคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ยังเป็นปัจจัยกดดัน fund outflow ออกจากตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี KAsset ยังคงมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้จากเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสเติบโตเร่งตัวขึ้น โดยมองว่าการท่องเที่ยวและการบริโภคยังโตได้ต่อเนื่อง การส่งออกที่จะกลับมาขยายตัว รวมทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่น่าจะเร่งตัวขึ้นหลังประกาศใช้งบประมาณในไตรมาส 2/2024
รวมถึงปัจจัยบวกจากต่างประเทศที่โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของประเทศแกนหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะส่งผลดีต่อมุมมองการลงทุนในหุ้นที่ดีขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ โดยมอง SET Index จะสามารถปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1500 -1570 จุดได้ในปีนี้
“KAsset ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง ต่อตลาดหุ้นไทย”
มูลค่าหุ้นซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ได้สะท้อนความกังวลจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้น ในปี 2023 ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว จะช่วยลดแรงกดดันในเชิง Valuation
คำแนะนำการลงทุน
แนะนำ นักลงทุนยังควรมีกองทุนหุ้นไทยติดพอร์ต ในสัดส่วนไม่เกิน 5-10% จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ผู้ที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นไทย : สามารถทยอยสะสมได้
แนะนำ K-VALUE เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
แนะนำ K-STAR เน้นหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีในระยะยาว และมีการจับจังหวะซื้อขายทำกำไร
ผู้ที่มีกองทุนหุ้นไทยอยู่ในพอร์ต : สามารถถือต่อได้
หากมีในสัดส่วนที่สูงกว่าสัดส่วนแนะนำมาก ควรพิจารณาลดสัดส่วนกองทุนหุ้นไทยลงมา
โดย “แนะนำให้สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม” แทน