1/25/2024

รัฐบาลจีนเตรียมทุ่มหมดหน้าตัก อัดฉีดเงิน 2 ล้านล้านหยวน เพื่อพยุงตลาดหุ้น​

HIGHLIGHTS:
• รัฐบาลจีนกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น ผ่านการอัดฉีดวงเงินราว 2 ล้านล้านหยวน (6% ของ Market Cap) 
• ตลาดหุ้นจีนปรับตัวแข็งแกร่ง (23-24 ม.ค. 2024) หลังจากถูกเทขายอย่างหนักตั้งแต่ปี 2023 รับปัจจัยหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• อย่างไรก็ดี ยังไม่ได้มีการประกาศออกมาเป็นทางการ โดย KAsset มีมุมมองว่า มาตรการนี้อาจไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาปรับตัวขึ้นแรง แต่มีแนวโน้มช่วยชะลอความผันผวน และจำกัด Downside ได้ในระยะสั้น
• KAsset ปรับลดมุมมองต่อตลาดหุ้นจีนเป็น Underweight
• นักลงทุนที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นจีน สามารถมีติดพอร์ตได้ ในสัดส่วนที่จำกัดไม่เกิน 5% และหากมีหน่วยลงทุนอยู่เเล้ว แนะนำให้หาจังหวะทยอยลดสัดส่วนลง ในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น 

รัฐบาลจีนเตรียมทุ่มหมดหน้าตัก อัดฉีดเงิน 2 ล้านล้านหยวน หลังหุ้นจีนร่วงหนักจนเกือบแตะจุดต่ำที่สุดในรอบ หลายปี
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวดีขึ้น เมื่อวันที่ 23-24 ม.ค. 2024 หลังจากถูกเทขายอย่างหนักตั้งแต่ปี 2023 มาจนถึงต้นปีที่ผ่านมา โดยการปรับตัวดีขึ้นนี้ เป็นผลมาจากรายงานที่ระบุว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น ด้วยการอัดฉีดวงเงินราว 2 ล้านล้านหยวน หรือมูลค่า 6% ของ Market Cap 

โดยเงินส่วนใหญ่จะมาจากบัญชีของรัฐสาหกิจจีนที่อยู่นอกประเทศ (Offshore) ซึ่งจะนำมาซื้อหุ้นในประเทศ (Onshore) ผ่าน Hong Kong exchange link อีกทั้ง ยังคาดว่าทางการจีนจะใช้วงเงินในประเทศอีกอย่างน้อย 3 แสนล้านหยวน เพื่อเข้าลงทุนหุ้นในประเทศ ผ่านบริษัท China Securities Finance Corp. หรือ Central Huijin Investment อีกด้วย 

อย่างไรก็ตาม จากการประชุมคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลจีนล่าสุด ที่มีนายหลี่ เฉียงเป็นประธานในการประชุม เพื่อรับฟังข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินงานของตลาดทุน รวมทั้งพิจารณามาตรการที่เหมาะสม กระนั้น ทางการจีนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดออกมาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ KAsset มองว่า ปัจจุบันมาตรการดังกล่าวยังไม่ได้มีการประกาศออกมาเป็นทางการ แต่ขนาดของมาตรการนับว่ามีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับช่วงปี 2015/2016 ที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรง จนภาครัฐมีมาตรการในลักษณะเดียวกันเพื่อลดความผันผวน โดยมีเม็ดเงินเข้าซื้อราว 1 ล้านล้านหยวน ในช่วงเวลาระยะประมาณ 2 เดือน 

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากหมดช่วงเข้าซื้อตลาดหุ้นจีน ก็ปรับตัวลงต่อ สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้น สำหรับมาตรการในครั้งนี้ เราคาดว่าอาจไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาปรับตัวขึ้นแรง แต่มีแนวโน้มช่วยชะลอความผันผวน และจำกัด Downside ได้ในระยะสั้น 

หากขนาดของมาตรการเพียงพอที่จะหนุนตลาด และปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ของตลาดหุ้นจีนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ส่วนในระยะถัดไป ตลาดจะกลับมาพิจารณาบนพื้นฐานการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ 

ล่าสุดในวันที่ 24 ม.ค. แถลงการณ์ของพาน กงเซิง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ระบุว่า PBOC จะปรับลดอัตราส่วนเงินสํารองสําหรับธนาคารพาณิชย์ หรือ Reserve Requirement Ratio (RRR) ในวันที่ 5 ก.พ.ที่จะถึงเพื่อสร้างสภาพคล่องให้ประเทศและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ การลดอัตราส่วนดังกล่าว 0.5% ซึ่งเป็นจํานวนเงินสดที่ธนาคารต้องสํารองจะเพิ่มสภาพคล่องระยะยาว 1 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 1.39 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.143 ล้านล้านบาท) 

ทั้งนี้ การลด RRR จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องผ่านการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า และสามารถซื้อพันธบัตรได้เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้มีรายงานว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน (CSRC) ได้สั่งให้ผู้จัดการกองทุน Hedge Fund บางแห่งห้ามทำ Short Sell ในตลาด Futures การเคลื่อนไหวดังกล่าวออกมาเพื่อทำให้ตลาดหุ้นจีนมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น ด้านตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นเช่นกัน ได้รับแรงหนุนจากกระแสข่าวที่ว่านายแจ็ก หม่า และนายโจเซฟ ไช่ ซึ่งเป็น 2 ผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ได้เข้าซื้อหุ้น Alibaba รวมกันเป็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้น Alibaba พุ่งขึ้นถึง 8% ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้สร้าง sentiment บวกต่อหุ้นเทคฯของจีน

มุมมองการลงทุน จาก KAsset Investment Strategy  
“บลจ.กสิกรไทย ปรับลดมุมมองต่อตลาดหุ้นจีนเป็น Underweight​”

อย่างไรก็ดี หากทางการจีนมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มเติมที่สามารถหนุนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและนักลงทุนได้ เราอาจจะพิจารณามุมมองตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง 

โดยปัจจุบัน มูลค่าหุ้นจีนนั้นซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และได้สะท้อนความกังวลจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้น ไปแล้วพอสมควร

คำแนะนำการลงทุน  
“แนะนำให้ นักลงทุนมีกองทุนหุ้นจีนติดพอร์ต ในสัดส่วนที่จำกัด ไม่เกิน 5% เท่านั้น” 

• ผู้ที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นจีน : สามารถมีติดพอร์ตได้ แต่อยู่ในสัดส่วนที่จำกัด
• ​ผู้ที่มีกองทุนหุ้นจีนอยู่ในพอร์ต : แนะนำให้หาจังหวะทยอยลดสัดส่วนหุ้นจีนลง เหลือไม่เกิน 5% ในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น 

หากถือหน่วยลงทุนหุ้นจีนในสัดส่วนที่สูงกว่าสัดส่วนแนะนำ และมีความกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้นจีน แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาลดสัดส่วนกองทุนหุ้นจีนลงมา โดยแนะนำให้สับเปลี่ยนในส่วนที่เกินไปลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น หรือเวียดนามแทน​

คำเตือน ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com​

บทความโดย บลจ.กสิกรไทย​ ข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2024

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น?​ >>Click
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ...แต่ไม่ชัดว่าเป็นครั้งสุดท้าย​ >>Click
สรุปสัญญาณ จากประชุม Politburo ของจีน​​ >>Click​
GDP จีนไตรมาสแรกขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด >>Click​​

K-PLAN ,K-PLAN2 , K-PLAN3, K-SF,K-SF-A,K-SF-SSF, K-GINCOME, K-GINCOME-A(A), K-GINCOME-A(R), K-GINCOME-SSF, K-GINCOME-RMF, กองทุนแนะนำ, กองทุนผลตอบแทนดี, กองทุนรวม, กองทุนรวม ตัวไหนดี , กองทุน กสิกร 
Yes
1/25/2024
0