เพราะสามารถสื่อสารได้เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์ ตอบคำถามที่ซับซ้อน และให้ผลลัพธ์ออกมาที่แม่นยำกว่า Chatbot ที่ผ่านๆมา ที่ทำได้เพียงให้ข้อมูล สภาพอากาศ และความรู้ทั่วไป
จนมีการเริ่มนำเอาไปใช้ในหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น การเขียน/วิเคราะห์/สรุปบทความ เขียนโปรแกรม หาบัคในโค้ดโปรแกรม แปลภาษา คำนวณเชิงคณิตศาสตร์ ช่วยทำการบ้าน หรือแม้แต่คำถามทั่วไป เช่น จัดตารางเที่ยว เขียนสูตรทำอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย และที่สำคัญคือในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ทำให้หลังจากเปิดตัวเพียง 2 เดือน ChatGPT กลายเป็นแอปพลิเคชันที่มีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้ใช้งานประจำถึง 100 ล้านรายต่อเดือนในเดือนม.ค. เลยทีเดียว (ข้อมูลจากผลการศึกษาของ UBS)
บริษัทเทคฯทั่วโลกเร่งเปิดตัว Chatbot มาประชัน
หลายบริษัทได้เร่งพัฒนาของตัวเองออกมา เช่น Baidu เปิดตัว “Ernie Bot” ด้าน Alibaba และ NetEase ก็กำลังพัฒนาเช่นกัน และแน่นอนว่าผู้นำตลาดรายใหญ่อย่าง Google ก็เปิดตัว “Bard AI” โดย Google จะให้ Bard ทำหน้าที่ร่วมกับ Google Search ซึ่งจะคล้ายๆ กับที่ Microsoft ได้นำ ChatGPT มาใส่ใน Bing
มนุษย์สายงานไหน เสี่ยงตกงาน กันบ้าง?
หลายคนมองว่าความอัจฉริยะนี้ อาจเข้ามาทดแทนหรือลดบทบาทคนในสายอาชีพต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น นักวิเคราะห์การเงิน นักกฎหมาย ค้าขาย แพทย์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้อาจจะยังมีข้อจำกัด เพราะสำหรับอาชีพที่ต้องใช้ความชำนาญและความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เช่น นักวิเคราะห์การเงิน หรือ นักกฎหมาย ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เนื่องจากถ้าคำตอบจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่บนอินเทอร์เน็ตยังไม่มีข้อมูลใดๆ ก็จะไม่สามารถดึงข้อมูลมาตอบได้
แต่ถ้าหากในอนาคตมีการพัฒนามากขึ้น จนสามารถเข้ามาทดแทนคนในสายอาชีพที่ต้องใช้ความชำนาญและความเชี่ยวชาญได้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่กระทบกับคนในวงกว้างเช่นกัน
ประเด็นที่เราควรจับตามองต่อไปก็คือ เราจะใช้ Chatbot อัจฉริยะนี้อย่างไร ให้เกิดประโยชน์ในแวดวงต่างๆ เพื่อช่วยให้เราไปสู่สังคมที่เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
อยากลงทุนอินเทรนด์ใน ChatGPT
การมาของ ChatGPT เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น และมีศักยภาพในการพัฒนาต่อที่สูง อีกทั้งบริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่หลายรายก็ได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมนี้ และประกาศว่าจะมีส่วนร่วมในตลาดนี้ ทำให้เรามีมุมมองว่าการมาของ ChatGPT จะเป็นก้าวสำคัญต่อวงการเทคโนโลยีในอนาคต และคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อีกมากมาย
ธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จะเป็นหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯขนาดใหญ่บางราย ที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันด้าน AI รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมต้นน้ำต่างๆ เช่น Semiconductor, Data Center และ Cloud Computing Provider เพราะจะเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ต่อ
คำแนะนำการลงทุน จาก บลจ.กสิกรไทย
หากนักลงทุนที่อยากลงทุนกับเทรนด์เทคฯเติบโตสูงในอนาคต บลจ.กสิกรไทย มีให้เลือก 3 กองทุน ที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้แก่
1. K-CHINA ลงทุนในหุ้นจีน โดยอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นหนึ่งในธีมที่กองทุนเน้นลงทุน
2. K-ATECH ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ในทวีปเอเชียแปซิฟิกรวมถึงญี่ปุ่น
3. K-USXNDQ เน้นลงทุนในหุ้นเทคฯสหรัฐฯ ผ่าน ETF ที่อ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนี Nasdaq-100