HIGHLIGHTS :
• ผลประกอบการไตรมาส 2 ของหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ดีกว่าที่ตลาดคาดทั้งในด้านรายได้และกำไร
• กองทุน K-USA ราคา NAV ปรับตัวขึ้น +6.44%
• ในสัปดาห์นี้จะมีประกาศอีกหลายบริษัทใหญ่ ถ้าออกมาไม่ดีจะทำให้หุ้นสหรัฐฯเผชิญกับแรงกดดันเพิ่ม
• คาด Fed อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ในการประชุม ปลายเดือนก.ค.นี้
• สหรัฐฯมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
หุ้นกลุ่มธนาคารรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ทั้งในด้านรายได้และกำไร อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาส 2 ปรับตัว -32%YoY เนื่องจากมีการตั้งสำรองเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้ยังสามารถขยายตัวได้ +5.6% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยก่อนหน้านี้ Citigroup รายงานผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เช่นเดียวกัน ขณะที่ธนาคารหรือวาณิชธนกิจอื่นๆ เช่น JPMorgan, Wells Fargo และ Morgan Stanley เผชิญกับภาวะธุรกิจที่ท้าทาย ทำให้รายได้และกำไรชะลอตัวลง
หากผลประกอบการหลายบริษัทใหญ่ออกมาไม่ดี จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มในสัปดาห์นี้จะเริ่มเห็นการรายงานผลประกอบการ จากหลายบริษัทที่นักลงทุนจะติดตามดูอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น Johnson & Johnson, Netflix, Tesla, United Airlines, Snap, Twitter หรือ Verizon ซึ่งหากการรายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ก็จะช่วยทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อภาวะตลาดมากขึ้น ในทางกลับกัน หากผลประกอบการออกมาไม่ดีก็จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม ก่อนหน้าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯปลายเดือนนี้
กองทุน K-USA ราคา NAV ปรับตัวขึ้น +6.44%ราคา NAV ของกองทุน K-USA-A(A) และ K-USA-A(D) วันที่ 18 ก.ค. 65 ปรับตัวขึ้น +6.44% สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯส่วนใหญ่ที่ปิดในแดนลบ ประมาณ -0.6% ถึง -0.8% การประกาศผลประกอบการของ Bank of America ออกมาดีกว่าคาด ช่วยทำให้ Sentiment ของตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นได้ตอบรับข่าว แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯไปมากพอสมควรแล้ว จึงเกิดแรงเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาปรับตัวลงมาลึกมากด้วยเช่นกัน โดยหุ้นในพอร์ตกองทุนหลักที่สามารถปิดทำราคาได้โดดเด่น ได้แก่ Coinbase +9.07%, Cloudflare +4.79%, Unity Software +4.66%, Uber +4.2%, Shopify +4.06%
คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ในการประชุม เดือนก.ค.รายงาน CME Fed Watch ล่าสุดสะท้อนนักลงทุนประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯมีโอกาส 69% ที่จะตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 27 ก.ค. นี้ ซึ่งลดลงจากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนส่วนใหญ่เกินกว่า 80% เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 1% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯได้ออกมาชี้แจงว่าเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.75% เท่านั้น
สหรัฐฯมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่สูงเกินไปเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เนื่องจากลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในตลาดเชื่อว่า สหรัฐฯมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า โดยปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะยังคงเป็นที่ติดตามของนักลงทุนอย่างใกล้ชิดต่อไป
มุมมองการลงทุนจาก KAssetนักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักผลประกอบการบริษัทไตรมาส 2 ที่กำลังทยอยประกาศ ขณะเดียวกันได้ priced-in การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่ระดับ 0.75%-1% ไปมากแล้ว ระยะถัดไปมองความผันผวนจะยังมีสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้
โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจึงคาดว่าจะมาจากประเทศที่มีการใช้นโยบายการเงินและการคลังสวนทางกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน หรือญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดประเทศและไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ รวมไปถึงเวียดนาม ที่ราคาย่อตัวลงมามากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งจึงเป็นโอกาสดีในการทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว
บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 19 ก.ค. 2565
หมายเหตุ "ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน"
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
เงินเฟ้อพุ่งสูงในรอบ 40 ปี >>
อ่านต่อ ขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อ จบหรือไม่? >>
อ่านต่อ