9/1/2023

อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น? ตอนที่ 2​

HIGHLIGHTS :
• มองว่าประเด็นวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์จะไม่ลุกลามเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในวงกว้าง เนื่องจากหนี้ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสินเชื่อทั้งหมดในระบบธนาคาร
• ยังต้องติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจจีนในระยะถัดไปอย่างใกล้ชิด รวมถึงการทยอยออกมาตรการต่างๆของรัฐบาลจีน 
• ผู้ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนในหุ้นจีนให้รอติดตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการเจรจากับเจ้าหนี้ของ Country Garden
• ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นจีนอยู่สามารถถือต่อได้ หากอยู่ในสัดส่วน 10-15% ของเงินลงทุน 
• แต่หากมีในสัดส่วนที่สูงกว่า 10-15% สามารถลดสัดส่วนลงมาได้ โดยแนะนำส่วนที่เกิน ไปลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ K-USA-A)A, K-USA-A(D) หรือหุ้นอินเดีย K-INDIA


China’s Fund Check up : อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น? ตอนที่ 2​ 

จับตาประเด็น Country Garden หากผิดนัดชำระหนี้ อาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจีน หลังจากที่ในสัปดาห์ก่อน เราได้อัพเดทสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนไปแล้ว ตาม >>Link<<

ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ มีประเด็นที่ต้องติดตามคือ Country Garden Holdings Company Limited (“CGH”) บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน จะถึงวันครบกำหนดการชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ ที่ได้รับการผ่อนผัน 30 วัน นับจากวันที่มีกำหนดชำระดอกเบี้ยในวันที่ 6 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ อาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจีน ที่ในระยะสั้นยังเผชิญความผันผวน จากทั้งความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ และความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน

การทยอยออกมาตรการต่างๆของรัฐบาลจีน "ยังน้อยกว่า ที่ตลาดคาดหวัง"  ​ 

อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในด้านการเงินและการคลัง ทั้งการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกลางจีน และการประกาศ 20 มาตรการของ NDRC ซึ่งเป็นหน่วยงานสูงสุดด้านการวางแผนเศรษฐกิจ เพื่อหนุนการบริโภค โดยเน้นกระตุ้นการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงการท่องเที่ยว ทางฝั่งตลาดทุน ได้มีการประกาศลดภาษีอากรสแตมป์สำหรับการซื้อขายหุ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 และล่าสุดได้ออกมาตรการด้านภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นอุปสงค์การซื้อบ้าน อาทิ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การจำนองเพิ่มเติม และปรับลดการวางเงินดาวน์ เป็นต้น

มุมมอง และคำแนะนำการลงทุน ในตลาดหุ้นจีน​​  ​ 

แม้ทางการจีนจะทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่ายังน้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง จึงนับเป็นความท้าทายของรัฐบาลจีนที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน และภาคเอกชน เราจึงมีมุมมองเชิงระมัดระวังต่อตลาดหุ้นจีนมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราคาดว่าในระยะข้างหน้า รัฐบาลและธนาคารกลางจีนจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นมาตรการแบบสมดุลและระมัดระวังให้ไม่กระทบความมั่นคงของระบบการเงินภายในประเทศในระยะยาว และมองว่าประเด็นวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์จะไม่ลุกลามเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในวงกว้าง  เนื่องจากหนี้ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสินเชื่อทั้งหมดในระบบธนาคาร ประกอบกับปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของจีนยังมีฐานะทางการเงินที่ดี 

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจจีนในระยะถัดไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคาบ้านและยอดขายบ้าน ว่าจะฟื้นตัวได้หรือไม่ หลังล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ที่จัดทำโดย NBS มีทิศทางที่ดีขึ้นในเดือนส.ค. แม้ยังอยู่ในแดนหดตัว (ต่ำกว่า 50) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 แต่เป็นการปรับตัวขึ้นสู่ระดับใกล้เคียง 50 ที่ 49.7 จากระดับ 49.3 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่ตลาดคาด นับเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นเล็กน้อย

เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานด้าน Valuation ของตลาดหุ้นจีน ปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเทียบกับในอดีต เราจึงมีมุมมองว่า นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนในหุ้นจีนให้รอติดตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการเจรจากับเจ้าหนี้ของ CGH ในช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อหาโอกาสทยอยลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นจีนอยู่สามารถถือต่อได้ หากอยู่ในสัดส่วน 10-15% ของเงินลงทุน แต่หากมีในสัดส่วนที่สูงกว่านั้น และมีความกังวลกับความผันผวนของตลาดจีนมาก สามารถลดสัดส่วนกองทุนหุ้นจีนลงมาได้ 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง : 
แนะนำให้สับเปลี่ยนกองทุนหุ้นจีนในส่วนที่เกินจาก 10-15% ไปลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ K-USA-A)A / K-USA-A(D) หรือหุ้นอินเดีย K-INDIA เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนทั้งในระยะสั้นอย่างการใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และในระยะยาวอย่างความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯและอินเดียที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และโครงสร้างเศรษฐกิจที่หนุนการเติบโตในอนาคต 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ : 
แนะนำให้สับเปลี่ยนส่วนที่เกินจากสัดส่วนแนะนำไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ K-FIXEDPLUS-A เพื่อลดความเสี่ยงและรอดูสถานการณ์ในช่วงปีนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอีกครั้ง
 
หมายเหตุ: K-CHINA และ K-CCTV ไม่มีการลงทุนใน CGH โดยกองทุนของ KAsset ไม่มีการลงทุนตรงใน CGH แต่เป็นการลงทุนทางอ้อม ผ่านกองทุนหลักที่เป็น ETF และมีสัดส่วนที่ต่ำมาก ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดเพียง 0.08%

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com

บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2023

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น?​ >>Click
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ...แต่ไม่ชัดว่าเป็นครั้งสุดท้าย​ >>Click
สรุปสัญญาณ จากประชุม Politburo ของจีน​​ >>Click​
GDP จีนไตรมาสแรกขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด >>Click​​


Yes
9/1/2023
0