อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมาย และคาดว่าจะอยู่ที่ 1.6% และ 2.6% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำในปี 2566 จากผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐและผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4% และ 2% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยง โดยเฉพาะในปี 2567 จากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐ และต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นหากปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงกว่าคาด
ตลาดคาดว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในวัฏจักรรอบนี้ของไทย
ตลาดคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ของไทย เว้นแต่ว่าเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่ธปท.คาดการณ์ไว้ โดยข้อความในแถลงการณ์ผลการประชุมระบุไว้ว่า “การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาจนถึงการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ดีในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยมีความผันผวนมาก จากปัจจัยหลายส่วนทั้งการเคลื่อนไหวตามทิศทางพันธบัตรสหรัฐฯที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวขึ้น และความกังวลต่อความชัดเจนของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่อาจมีนัยต่อการออกพันธบัตรในปีงบประมาณหน้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาวะตลาดมีการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง
คาดว่าผลกระทบในระยะข้างหน้าจำกัด แม้ยังอาจเห็นความผันผวนในระยะสั้นอยู่บ้าง จากการส่งสัญญาณนโยบายทางเงินจากการประชุมกนง.ล่าสุด นโยบายการระดมเงินภาครัฐที่มีแนวทางชัดเจนขึ้น อีกทั้งตลาดได้มีการรับรู้ปัจจัยลบเรื่องดังกล่าวไปส่วนใหญ่แล้ว
KAsset ยังคงมุมมองต่อตราสารหนี้ไทยเป็น Positive จาก 3 เหตุผล ดังนี้
1. ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากการถือกองทุนที่ตราสารจ่ายดอกเบี้ยสูง
2. ระยะถัดไป หาก Fed ส่งสัญญาณหยุดการขึ้นดอกเบี้ย จะเป็นแรงหนุนที่ชัดเจนต่อตลาดตราสารหนี้ได้ และเมื่อดอกเบี้ยกลับไปเป็นขาลง นักลงทุนก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับขึ้น (ราคาตราสารหนี้จะสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้าม)
3. ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต ในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ดี ระยะสั้นนี้อาจจะยังเห็นความผันผวนระหว่างทางได้ โดยเฉพาะกองทุนที่มี Duration ยาวกว่า แต่คาดว่าความผันผวนเริ่มมีจำกัด จังหวะที่แนวโน้มดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุด ทำให้การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น
คำแนะนำการลงทุน
สำหรับกองทุน T+1 : ผู้ถือหน่วยเดิมสามารถถือต่อไปได้ หากยังไม่มีหน่วยลงทุน ก็สามารถเข้าลงทุนได้
จังหวะที่ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากการถือกองทุนที่ตราสารจ่ายดอกเบี้ยสูง
- K-SF (ลงทุนอย่างน้อย 1-3 เดือน)
- K-SFPLUS (ลงทุนอย่างน้อย 3-6 เดือน)
สำหรับกองทุน T+2 : ผู้ถือหน่วยเดิมสามารถถือต่อไปได้ แต่ยังไม่เเนะนำให้เข้าลงทุนเพิ่ม เพราะมีความผันผวนจะสูงกว่ากอง T+1
ระยะถัดไป หาก Fed ส่งสัญญาณหยุดการขึ้นดอกเบี้ย จะเป็นแรงหนุนที่ชัดเจนต่อตลาดตราสารหนี้ได้ และเมื่อดอกเบี้ยกลับไปเป็นขาลง นักลงทุนก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับขึ้น (ราคาตราสารหนี้จะสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้าม)
- K-PLAN1 (ลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน)
- K-FIXEDPLUS (ลงทุนอย่างน้อย 1 ปี)