1/16/2024

พรรค DPP ชนะเลือกตั้งฯไต้หวัน ความสัมพันธ์กับจีน เปลี่ยนไปหรือไม่?

HIGHLIGHTS:
• พรรค DPP ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน นับเป็นพรรคแรกที่สามารถเป็นรัฐบาลต่อเนื่องสมัยที่ 3 
• นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตา เนื่องจากจุดยืนของพรรค DPP คือไม่ต้องการที่จะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับจีน 
• เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำโอกาสที่จะเกิดสงครามระหว่างจีน-ไต้หวัน มากยิ่งขึ้น
• บลจ.กสิกรไทย มองว่า เรื่องนี้เป็นปัจจัยบวกอ่อนๆ ต่อความสัมพันธ์กับประเทศจีน เนื่องจากโทนเสียงของพรรค DPP และความแข็งกร้าวต่อจีนก็ได้อ่อนลงมาแล้ว และถึงแม้ว่า DPP จะชนะ แต่เป็นการชนะที่มีเสียงในสภาน้อยลง
• ทำให้การเลือกตั้งฯ ของไต้หวันครั้งนี้ ถือว่าเป็น “Status Quo” คือ ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและจีน จะยังค่อนข้างคลุมเครือต่อไป และไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจน

นายไล่ ชิงเต๋อ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party - DPP) ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันเมื่อ 13 ม.ค. 2024 นับเป็นพรรคแรกที่สามารถเป็นรัฐบาลต่อเนื่องสมัยที่ 3 โดยได้คะแนนเสียง 40% เอาชนะพรรคฝ่ายค้าน KMT ที่ได้คะแนน 33%  

สาเหตุที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาการเลือกตั้งในครั้งนี้ เนื่องจากจุดยืนของพรรค DPP คือ ไม่ต้องการที่จะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับจีน และมุ่งมั่นที่จะปกป้องไต้หวันจากภัยคุกคามจากจีน ทำให้ยิ่งตอกย้ำโอกาสที่จะเกิดสงครามระหว่างจีน-ไต้หวัน ขณะที่พรรค KMT มีจุดยืนที่ต่างกัน คือ (1) ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่ง (2) ไม่เป็นเอกราช และ (3) ไม่เผชิญหน้าทางการทหาร โดยคงความสัมพันธ์แบบเดิม คือ คลุมเครือกับจีน ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนไต้หวันส่วนใหญ่พอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้

มุมมองจาก KAsset Investment Strategy​
ถึงแม้ว่าพรรค DPP ได้ชนะ แต่เป็นการชนะที่มีเสียงในสภาที่อ่อนแอลง พรรค DPP เสียที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรค KMT ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น จำนวนเสียงในสภาที่พรรค DPP ได้รับ น้อยลงจาก 63 ที่นั่งในปี 2020 เหลือ 51 ที่นั่งในปี 2024 และจำนวนเสียงโหวตให้กับพรรคก็น้อยลง จาก 7 ล้านคนในรอบที่แล้วเหลือ 5.6 ล้านคน ในขณะที่ KMT ได้จำนวนที่นั่งในสภานิติบัญญัติมากขึ้น จากเดิม 38 ที่นั่ง เป็น 52 ที่นั่ง เป็นจุดที่น่าสนใจที่ว่า ไม่ได้มีพรรคใดพรรคหนึ่งที่มีคะแนนเสียงข้างมากอย่างชัดเจนในสภานิติบัญญัติ 

บลจ.กสิกรไทยมองว่าเรื่องนี้ เป็นปัจจัยบวกอ่อนๆ ต่อความสัมพันธ์กับประเทศจีน เนื่องจากโทนเสียงของพรรค DPP และความแข็งกร้าวต่อจีนก็ได้อ่อนลงมาแล้ว และถึงแม้ว่า DPP จะชนะ แต่เป็นการชนะที่มีเสียงในสภาน้อยลง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือว่าเป็น Status quo คือความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและจีนจะยังค่อนข้างคลุมเครือ และไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจน 

ล่าสุด ประธานาธิบดี ไบเดน ของสหรัฐฯ ยังออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องประเด็นไต้หวันว่า สหรัฐฯยังคงสนับสนุนหลักการ One China และไม่ได้ต้องการเห็นไต้หวันแยกตัวออกมาเป็นอิสระ ( “We do not support independence" ) และ นายไล่ ชิงเต๋อ ก็กล่าวในการแถลงข่าวว่าต้องการ "maintain peace and stability" กับจีน ทำให้ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จะสามารถลดความตึงเครียดไปได้บ้าง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และค่าเงิน ตลาดหุ้น​​
ค่าเงิน USD/TWD ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยะสำคัญหลังจากการเลือกตั้ง เนื่องจาก 
1. ความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ได้เข้าไปอยู่ในราคาก่อนหน้าการเลือกตั้งแล้วทำให้ค่าเงิน TWD อ่อนเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ 
2. ไม่ได้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีโฟลว์นักลงทุนต่างชาติเข้ามาถือหุ้นไต้หวันในระดับที่สูง จากความเสี่ยงเรื่องการเลือกตั้ง 
3. ค่าเงินไต้หวัน ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่าการส่งออกของไต้หวันจะฟื้นจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 
4. เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ และค่าเงินหยวนที่อ่อน ยังคงเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินไต้หวัน 

ดังนั้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของไต้หวัน จึงไม่ได้มีเพียงแค่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ปัจจัยหลักของเศรษฐกิจไต้หวันยังคงเป็นเรื่องการส่งออก ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของ GDP และส่วนมากเป็นสินค้าอุปกรณ์เล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ถึง 51% ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2024 นักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า การส่งออกของเซมิคอนดักเตอร์มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและกลับมาขยายตัวเป็นบวกอีกครั้ง 

ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไต้หวัน​
สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไต้หวัน Taiex หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ได้มี pattern ชัดเจนในปีที่มีการเลือกตั้ง เช่นในปี 2020 ที่ DPP ชนะเลือกตั้ง ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นลบใน 3 เดือนให้หลัง 

ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยะต่อการลงทุน เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองเดิม และคงนโยบายแบบเดิม แต่อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดทุนบ้าง หากความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้ยกระดับความตึงเครียดเพิ่มขึ้น 

"ทั้งนี้ มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและเอเชีย จากบลจ.กสิกรไทย ยังคงเป็น Neutral เช่นเดิม"

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com​

บทความโดย KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย​ 
ข้อมูล ณ วันที่ 15 มกราคม 2024

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น?​ >>Click
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ...แต่ไม่ชัดว่าเป็นครั้งสุดท้าย​ >>Click
สรุปสัญญาณ จากประชุม Politburo ของจีน​​ >>Click​
GDP จีนไตรมาสแรกขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด >>Click​​


Yes
1/16/2024
0