​​​​​​​​นโยบายการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ​​


  1. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทยจำกัด และหลักการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ
    (KAsset and Responsible Investment Policy)​

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (“บลจ.กสิกรไทย”) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน ซึ่งรับผิดชอบการบริหารจัดการเงินลงทุนในนามของลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของเงินลงทุน มีแนวทางการลงทุนในบริษัทที่สามารถสร้างมูลค่าทั้งทางด้านการเงินและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนแก่ผู้ลงทุน บริษัทจัดการมีการนำเอาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) รวมทั้งหลักจริยธรรม มาประกอบการพิจารณาวิเคราะห์ในกระบวนการตัดสินใจลงทุน และการสร้างพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภทภายใต้การบริหาร

บลจ. กสิกรไทย เป็นบริษัทในเครือของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของประเทศไทย มีแนวปฏิบัติด้านการลงทุนที่ความสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งยึดมั่นในหลักปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจทุกด้าน

บลจ.กสิกรไทยตระหนักดีว่าความเชื่อถือและไว้วางใจของลูกค้าและสาธารณชนที่มีต่อบริษัทเป็นองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาชีพด้านการจัดการลงทุน เราเชื่อมั่นว่าการกำกับดูแลกิจการที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายคือการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า สืบเนื่องจากการยึดหลักการที่ผลประโยชน์ของลูกค้ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก บลจ. กสิกรไทยจึงมีการกำหนดมาตรการที่เน้นประสิทธิผลในการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์และดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส


2. การกำกับดูแล (Oversight)

คณะกรรมการบริษัทของ บลจ. กสิกรไทย ได้มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Committee)ทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานและกำหนดแนวทางการจัดการด้าน สิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ต่อการดำเนินธุรกิจและการบริหารพอร์ตการลงทุนภายใต้การบริหารของ บลจ. กสิกรไทย โดยรายละเอียดหน้าที่ความรับผิดชอบมีดังต่อไปนี้

  • ทบทวนนโยบายการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Investment Policy)
  • ทบทวนแนวทางการจัดการด้าน ESG และ Climate Change
  • ติดตามการพัฒนาและส่งเสริมในการนำเอามิติด้าน ESG มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท
  • ทบทวนหลักทรัพย์ที่ควรเข้าข่ายเฝ้าระวังและติดตาม รวมถึงพิจารณาอนุมัติหลักทรัพย์ที่ถูกนำออกจาก รายชื่อหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้ของ บลจ. กสิกรไทย (KAsset Investment Universe) เนื่องจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ESG
  • อนุมัติและทบทวนผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีนโยบายเกี่ยวกับความยั่งยืน (ESG/SRI Labelled)
  • ทบทวนแนวทางในการทำ ESG engagement และการทำหน้าที่ผู้ลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (Stewardship Activities) ของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์การลงทุน รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงทุน
  • ทบทวนและอนุมัติรายงานการดำเนินงานด้าน ESG และ Climate Change แก่สาธารณะและหน่วยงานภายนอก อาทิ รายการการปฏิบัติตามหลักการลงทุนที่รับผิดชอบในระดับสากลที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN-Supported Principles for Responsible Investment - UNPRI) แนวทางการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-Related Financial Disclosures: TCFD) รายงานการปฏิบัติตามนโยบายธรรมาภิบาลการลงทุนประจำปี (Investment Governance Report) เป็นต้น
  • ส่งเสริมให้มีการนำแนวปฏิบัติด้าน ESG มาปรับใช้ในทุกฝ่ายงานภายในบลจ. กสิกรไทยอย่างมีประสิทธิผล
  • รายงานสรุปกิจกรรมด้าน ESG ตลอดจนความคืบหน้าของพัฒนาการเทียบกับเป้าหมายในการดำเนินงานต่อคณะกรรมการบริษัท

3.ขอบเขตการพิจารณามิติของ ESG และลำดับการให้ความสำคัญของแต่ละประเด็นด้าน ESG

ด้านสิ่งแวดล้อม:

บลจ.กสิกรไทยมุ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การมีเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีการปล่อยคาร์บอนที่ลดลง บริษัทจัดการมีการประเมินกิจการที่ลงทุนโดยมีการคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยประเด็นหลักที่ทางบริษัทจัดการให้ความสำคัญมีดังต่อไปนี้

  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • มลภาวะ
  • การจัดการขยะและของเสีย
  • การประหยัดพลังงาน
  • ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
  • ความหลากหลายทางชีวภาพ

    ด้านสังคม: บลจ.กสิกรไทยมุ่งให้ความสำคัญด้านการจัดการทุนมนุษย์ของกิจการต่างๆ ที่ลงทุนรวมถึงการตั้งเป้าหมายทางสังคมตลอดจนการวัดผลกระทบด้านสังคม โดยประเด็นหลักในการพิจารณา ได้แก่
  • การใช้แรงงานเด็ก
  • การเลือกปฏิบัติด้านการจ้างงานและอาชีพ
  • ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม
  • สิทธิมนุษยชน
  • สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
  • คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์​

    การกำกับดูแลกิจการ: แนวทางการกำกับดูแลกิจการและการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นของ บลจ. กสิกรไทย อยู่บนพื้นฐานของหลักการด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีดังต่อไปนี้
  • ความยึดมั่นในคุณธรรม (Integrity)
  • ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ (Transparency)
  • ความเป็นอิสระ (Independence)
  • ความรับผิดชอบ (Responsibility)
  • ภาระความรับผิดชอบ (Accountability)
  • ความยุติธรรม (Fairness)​
    บลจ. กสิกรไทยมีการกำหนดนโยบายภายในสำหรับการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติและการดำเนินการที่เหมาะสมหากมีประเด็นที่กังวล รวมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมการปฏิบัติด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี
    ประเด็นด้านการกำกับดูแลกิจการมีพิจารณาอย่างเป็นระบบผ่านกระบวนการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นและการมีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้น (Engagement) โดยทาง บลจ. กสิกรไทยจะมีการสื่อสารกับกิจการที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น ในการประชุมผู้ถือหุ้น หากทางบริษัทจัดการมีแนวโน้มว่าจะมีการใช้สิทธิออกเสียง “คัดค้าน" ทางบริษัทจัดการจะมีติดต่อกับบริษัทที่ลงทุนนั้นนั้นก่อนที่จะมีการใช้สิทธิออกเสียงเพื่อหารือถึงประเด็นที่กังวลและอธิบายเหตุผลในการออกเสียงที่ขัดแย้งกับข้อแนะนำของฝ่ายบริหาร การปฏิบัติดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ทางบริษัทจัดการได้สื่อสารและชี้แจงข้อกังวลต่อบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทจัดการจะจัดให้มีกระบวนการติดตามผล หรือการดำเนินการที่เหมาะสมต่อบริษัทดังกล่าวหากจำเป็น
    นอกจากนี้ บลจ. กสิกรไทยยังให้ความสำคัญกับประเด็นอื่นๆ เช่น ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การต่อต้านการให้หรือรับสินบน และการป้องกันการหาผลประโยชน์ในหน้าที่โดยมิชอบ

4.สรุปแนวทางการนำปัจจัยด้าน ESG มาปรับใช้ในกระบวนลงทุน (ESG Integration) แบ่งตามประเภทของสินทรัพย์

บลจ. กสิกรไทยได้นำเอาปัจจัยด้าน ESG มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุน โดยเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์จนถึงการสร้างพอร์ตการลงทุน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของจากหลายแหล่งที่มา เช่น จากการหารือกับฝ่ายบริหารของบริษัทที่ลงทุน แบบสอบถาม การเยี่ยมชมโรงงาน รายงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น รายงานประจำปี รายงาน 56-1 One Report รายงานการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน รายงานด้านการเงินรายปีและระหว่างกาล วาระการประชุมผู้ถือหุ้น ฐานข้อมูล/งานวิจัยที่ได้รับจากผู้ให้บริการภายนอก อาทิเช่น Refinitiv, Bloomberg, Institutional Shareholder Services (ISS) และข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะอื่นๆ

ปัจจุบันบริษัทจัดการได้ทำการประเมินปัจจัยทางด้าน ESG โดยใช้แบบประเมินภายใน โดยมีการให้คะแนนและจัดอันดับ ซึ่งแบบประเมินอาจมีความแตกต่างกันตามความเหมาะสมของแต่ละประเภทสินทรัพย์ ทั้งนี้การประเมินได้ครอบคลุมผลกระทบจากปัจจัยด้าน ESG ทั้งทางตรงและทางอ้อมขึ้นกับประเด็นความสำคัญ นอกจากนี้ บลจ. กสิกรไทยยังได้ผนวกผลการจัดอันดับด้าน ESG ที่จัดทำโดยผู้ให้บริการภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ เข้ามาพิจารณาร่วมด้วย โดยหัวข้อในการประเมินครอบคลุมทุกด้านของแต่ละปัจจัยด้าน ESG เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก สิทธิมนุษยชน ผลกระทบทางสังคม การปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งการให้น้ำหนักของผลกระทบในแต่ละปัจจัยด้าน ESG จะแตกต่างกันตามประเภทอุตสาหกรรมของแต่ละกิจการ สำหรับคะแนนและการจัดอันดับด้าน ESG ของแต่ละกิจการจะถูกนำมาพิจารณาร่วมในการพิจารณาวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์จะสะท้อนข้อมูลด้าน ESG ในการคาดการณ์ตัวเลขทางการเงิน การประเมินมูลค่าธุรกิจและการสร้างพอร์ตการลงทุน สำหรับในกรณีที่มีปัจจัยด้าน ESG ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือมูลค่าของธุรกิจ ทางบริษัทจัดการจะมีการสื่อสารกับกิจการที่ลงทุนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและตัดสินใจพิจารณาการลงทุน

บลจ.กสิกรไทยจะวิเคราะห์และประเมินคุณภาพด้าน ESG ของกิจการอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือทบทวนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญ​


ก.กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกในตราสารทุน (Active Equity Strategy)

ปัจจัยด้าน ESG มีการประเมินโดยใช้แบบประเมินภายใน ในระดับบริษัทหรือผู้ออกหลักทรัพย์ ครอบคลุมในทุกกลยุทธ์การลงทุน โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกหุ้น การตัดสินใจลงทุนตลอดจนการสร้างพอร์ตการลงทุน โดยปัจจัยที่ใช้ในการประเมินขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของแต่ละกิจการและอุตสาหกรรมของกิจการนั้นๆ ที่อาจส่งผลกระทบด้านชื่อเสียง การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และ/หรือฐานะการเงินต่อกิจการ ซึ่งทำให้มูลค่าของผู้ถือหุ้นถดถอยลง นอกจากนี้ บลจ. กสิกรไทยเชื่อว่าการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจโดยใช้ปัจจัยด้าน ESG ประกอบกับการใช้สิทธิที่เหมาะสมของผู้ลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้น (Active Ownership) จะช่วยให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

ข.กลยุทธ์การลงทุนในตราสารทุนเชิงรับ (Passive Equity Strategy)
บริษัทจัดการไม่มีนโยบายงดเว้นการลงทุนในหุ้นบางกลุ่มอุตสาหกรรมหรือบางหลักทรัพย์ที่มีประเด็นด้าน ESG (Exclusionary Policy) ในกลยุทธ์นี้ เนื่องจากเป้าหมายการลงทุนคือทำให้ผลตอบแทนมีค่าเบี่ยงเบนจากดัชนีชี้วัดน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์ด้าน ESG เกิดขึ้น บริษัทจัดการจะมีการนำมาหารือในคณะทำงานพิจารณาตราสารทุน และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนตามลำดับ โดยทาง บลจ. กสิกรไทย จะใช้สิทธิที่เหมาะสมของผู้ลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้น (Active Ownership) ผ่านการทำ Engagement กับบริษัท หรือการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นทุกครั้งของทุกกิจการที่เข้าไปลงทุน ถึงแม้ว่าบางกิจการจะไม่อยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้ของบริษัทจัดการสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตราสารทุนเชิงรุกก็ตาม

ค.กลยุทธ์การลงทุนในผ่านกองทุนรวมดัชนี (Indirect Investment through ETFs)
สำหรับการประเมินปัจจัยด้าน ESG ในกองทุนรวมดัชนี บริษัทจัดการจะทำการประเมินปีละครั้งที่ระดับของผู้จัดการกองทุนภายนอก (Master Fund Manager for ETFs) โดยใช้แบบสอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็น นอกจากนี้ บริษัทจัดการยังมีการประเมินและติดตามการเปลี่ยนแปลงของคะแนนรวมด้าน ESG ของแต่ละกองทุน ETF และคะแนนในกลุ่มย่อยในประเด็นแต่ละด้านปัจจัย ESG ซึ่งiรวบรวมมาจากบริษัทจัดอันดับด้าน ESG ภายนอก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

ง.ตราสารหนี้ในประเทศ (Domestic Fixed Income)
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ ESG ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจลงทุนและกระบวนการสร้างพอร์ตลงทุน โดยมีการพิจารณาทั้งข้อมูลเชิงประมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ

ตราสารหนี้ภาครัฐ
กระบวนการพิจารณา ESG กระทำในภาพของประเทศ (Sovereign) โดยเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ แต่เนื่องจากการลงทุนของตราสารหนี้หากเป็นกองทุนที่ลงทุนในประเทศเป็นหลัก คะแนนที่ได้จากการประเมิน ESG จะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุนเหล่านี้

เงินฝาก ตราสารหนี้ภาคเอกชน และ ตราสารหนี้ที่ไม่ใช่ตราสารหนี้ภาครัฐ
การประเมิน ESG เริ่มดำเนินการจากการใช้แหล่งข้อมูลภายนอกของผู้ออกตราสารที่จัดทำโดย External Service Provider ที่น่าเชื่อถือ ในกรณีที่พิจารณาแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งภายนอกแตกต่างจากมุมมองการประเมินภายใน การประเมินด้าน ESG อาจต้องทำเพิ่มเติมผ่านแบบฟอร์มการประเมินภายในของ บลจ.กสิกรไทย อนึ่งสำหรับบริษัทที่ไม่มีข้อมูลการประเมินจาก External Services Provider บลจ.กสิกรไทยจะดำเนินการประเมินตามแบบฟอร์มการประเมินภายในของบริษัทจัดการ
คะแนน ESG ที่ได้จะนำมาพิจารณาประกอบกับคะแนนปัจจัยพื้นฐานของผู้ออกตราสารในรูปแบบของ Matrix เพื่อใช้ในการกำหนดอายุและวงเงินลงทุนของผู้ออกตราสารแต่ละราย

จ. ตราสารหนี้ต่างประเทศ (Foreign Fixed Income​)

ตราสารหนี้ และเงินฝากธนาคารต่างประเทศ

บริษัทจัดการจะมีการรวมการประเมินด้าน ESG เข้ากับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของแต่ละผู้ออกตราสาร สำหรับการประเมินเชิงคุณภาพ นักวิเคราะห์จะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุปัจจัยความเสี่ยงสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความยั่งยืนของบริษัท จากนั้นจะมีการประเมินโอกาสที่จะเกิดผลกระทบต่อบริษัท ตลอดจนความรุนแรงของผลกระทบเหล่านั้น ในการพิจารณาข้อมูลเชิงปริมาณ นักวิเคราะห์จะนำคะแนน ESG จากผู้ให้บริการข้อมูลด้าน ESG ภายนอกที่เชื่อถือได้ เพื่อมาประเมินคะแนนด้าน ESG ของแต่ละบริษัทเทียบกับบริษัทคู่แข่ง รวมถึงเทียบกับแนวโน้มในอดีตของตัวบริษัทเองด้วย ทั้งนี้ การประเมินด้าน ESG เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์เครดิตภายในของบริษัท โดยคะแนนเครดิต (Credit Score) ขั้นสุดท้ายจะถูกนำมาใช้ในการกำหนดวงเงินการลงทุน ในการพิจารณาการลงทุน ภายใต้ข้อจำกัดที่กำหนด

ตราสารหนี้ภาครัฐต่างประเทศ

ปัจจัยด้าน ESG ถูกประเมินในระดับประเทศ (Sovereign) โดยมีการพิจารณาประเด็นด้านความแข็งแกร่งของรัฐบาล เสถียรภาพทางการเมือง ประสิทธิภาพของรัฐบาลและการกำกับดูแล การทุจริตคอรัปชั่น ความเหลื่อมล้ำและความปรองดองกันของสังคม ตลอดจนความเสี่ยงที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ปัจจัยเหล่านี้ถูกจัดอันดับโดยองค์การระหว่างประเทศที่เชื่อถือได้ เช่น ธนาคารโลก (World Bank), องค์การสหประชาชาติ (United Nations) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งนี้ ทางบริษัทนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการวิเคราะห์ภายใน โดยการแปลงข้อมูลเป็นตัวเลขดัชนี เพื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงด้าน ESG ในแต่ละประเทศ โดยในการเปรียบเทียบบริษัทจัดการจะทำการแยกกลุ่มประเทศตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และตลาดเกิดขึ้นใหม่ (Emerging Markets) เพื่อสะท้อนการเปรียบเทียบได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้คะแนน ESG จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาจัดส

รรกรอบวงเงินลงทุน

และระยะเวลาการลงทุนในตราส​​​ารหนี้ภาครัฐต่างประเทศ

ฉ.กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund)

การประเมินด้าน ESG จะมีการพิจารณาที่ระดับผู้จัดการกองทุนเมื่อมีการคัดเลือกผู้จัดการกองทุนภายนอก (Master Fund Manager) กระบวนการประเมินจะมีดำเนินการปีละหนึ่งครั้งโดยทีมกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน โดยใช้แบบสอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นจากผู้จัดการกองทุนภายนอก โดยแบบสอบถามดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลเฉพาะของบริษัทจัดการกองทุนภายนอกนั้นนั้น จนถึงกลยุทธ์ของแต่ละกองทุน ซึ่งจะมีการพิจารณาในเชิงลึกถึงมิติด้าน ESG ของแต่ละกลยุทธ์ โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทจัดการสามารถประเมินได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวมีกระบวนการด้านการลงทุนด้าน ESG ที่เหมาะสมหรือไม่ และกระบวนการเหล่านี้มีการปรับปรุงและพัฒนาการอย่างไร

ช.กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)/โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่ บลจ. กสิกรไทยเป็นผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) หรือ ทรัสตี (Trustee)

ปัจจัยด้าน ESG ได้ถูกนำมาพิจารณาตั้งแต่ในกระบวนการการคัดเลือกและการทำ Due diligence ในการพิจารณารับทำหน้าที่ผู้จัดการกองทุนและทรัสตี โดย ESG เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินโดยรวม เช่น การตรวจสอบด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน

แนวทางการดำเนินงานด้าน ESG มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะ/ประเภทของโครงการ เช่น การปรับปรุงอาคาร การก่อสร้าง การคัดเลือกผู้จัดการโครงการและผู้เช่า โดยประเด็นในด้านพิจารณาด้าน ESG อาทิเช่น การบำรุงรักษาอาคารเพื่อให้อยู่ในสภาพดี การจัดการน้ำเสียและขยะ ความสัมพันธ์กับชุมชนและการพัฒนาชุมชน กระบวนการจัดการพนักงาน และการขอรับใบอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด ในการดำเนินการดังกล่าว ผู้จัดการกองทุนและทรัสดีจะให้การสนับสนุนต่อผู้จัดการโครงการและผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยทำการวิเคราะห์ด้าน ESG ตลอดระยะเวลาการจัดการของกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REIT ดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้จัดการโครงการภายใต้กองทุนอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดการ REIT จะได้รับการคัดเลือกโดยการพิจารณานโยบายด้าน ESG ของกิจการนั้นๆ ตัวอย่างเช่น การรณรงค์เพื่อการประหยัดพลังงาน การจัดการน้ำเสีย กิจกรรมกับผู้ใช้อาคาร ประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง และนโยบายด้านการจัดซื้อ เป็นต้น โดยผู้จัดการกองทุนและทรัสตีมุ่งสนับสนุนให้มีการปฏิบัติที่สอดคล้องกับนโยบายด้าน ESG รวมถึงการเปิดเผยข้อมูล


5.แนวทางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

​บลจ. กสิกรไทยตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความจําเป็นเร่งด่วนเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืนไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั่วโลก เนื่องจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลลบต่อการลงทุน บริษัทจัดการจะจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพยายามจัดการความเสี่ยงที่มีนัยสําคัญต่อการลงทุนและธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในประเด็นที่บริษัทจัดการให้ความสำคัญในการทำ Engagement กับบริษัทที่ลงทุน​

นื่องจากความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสําคัญในการระบุผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อผลการดําเนินงานของกิจการที่ลงทุนต่างๆ บลจ.กสิกรไทยจึงได้ลงนามเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนกรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) และมีการปรับแนวปฏิบัติของทางบริษัทจัดการให้สอดคล้องและมีทิศทาง

เดียวกับแนวทางดังกล่าวด้วย

คณะกรรมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนมีหน้าที่รับผิดชอบในการติดตามการดำเนินการของทีมจัดการลงทุนในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อบริษัทที่ลงทุนและนำมาพิจารณาร่วมในกระบวนการลงทุนและการสร้างพอร์ตลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานด้าน ESG โดยคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน​มีหน้าที่รายงานสรุปผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการบริษัท ​


6.แนวทางการยกเว้นการลงทุน (Exclusionary Policy) - สําหรับการลงทุนโดยตรงเท่านั้น

ก.บริษัทที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการดําเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบและฝ่ายบริหารไม่สามารถหาวิธีแก้ไขหรือจัดการปัญหาในเชิงรุกหรือดําเนินการปฏิรูปที่จําเป็นจะถูกติดตามอย่างใกล้ชิดและอาจถูกคัดออกจากรายชื่อหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้ (Investment Universe) ของบลจ.กสิกรไทย

ข.บริษัทที่เกี่ยวข้อง/ผลิต/จัดจําหน่ายหรือจําหน่ายสินค้าในประเภทผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้จะไม่ถูกพิจารณาให้อยู่ใน Investment universe

  • อาวุธประเภท Controversial weapons เช่น อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ อาวุธนิวเคลียร์
  • ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-personnel landmines)
  • ระเบิดลูกปราย และ อาวุธยุทธโธปกรณ์ (Cluster bombs or munitions)
  • อาวุธปืน (Firearms)
  • การทําสัญญาทางทหาร (Military contracting)
  • ความบันเทิงสําหรับผู้ใหญ่ (Adult entertainment)

ค.บริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง อาทิ เหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหิน แหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล จะถูกจัดให้มีการติดตามพัฒนาการรวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

7.การใช้สิทธิที่เหมาะสมของผู้ลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้น (Active Ownership Activities)​

ก​.​แนวทางการมีส่วนร่วม (Engagement Approaches)

บลจ. กสิกรไทยเชื่อว่าการมีส่วนรวมและการสื่อสารกับกิจการที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจของบริษัทที่ลงทุน โดยคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงผลการดำเนินงานของกิจการได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทั้งลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น

ในกรณีประเด็นที่กังวลอาจส่งกระทบในทางลบต่อกิจการที่ร้ายแรง บริษัทจัดการอาจเพิ่มระดับในการติดตามโดยนำเสนอประเด็นข้อกังวลไปยังคณะกรรมการบริษัทของกิจการที่ลงทุน

โดยส่วนใหญ่บริษัทจัดการเลือกที่จะสื่อสารกับกิจการที่ลงทุนเป็นการส่วนตัว (Private Discussion)เนื่องจากบริษัทจัดการมีความเชื่อมั่นในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารในกิจการที่ลงทุนและเพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดและผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นจากการสื่อสารต่อสาธารณะในวงกว้าง สำหรับในการดำเนินการกับกิจการที่ลงทุนที่มีข้อกังวลและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หลังจากเพิ่มระดับในการติดตาม ทางบริษัทจัดการอาจมีการร่วมมือกับผู้ลงทุนอื่น (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ) หรือผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ (Collective Engagement) ตามความเหมาะสมเพื่อให้กิจการที่ลงทุนเห็นความสำคัญของประเด็นข้อกังวลของบริษัทจัดการและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

บริษัทจัดการได้ให้ความร่วมมือกับนักลงทุนสถาบันในประเทศรายอื่นผ่านทางองค์กรที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม เช่น สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (“AIMC") สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (“TLCA") สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (“IOD") รวมถึงองค์กรกำกับดูแล เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“SET") สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC") และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ทั้งนี้บริษัทจัดการยังได้มีส่วนร่วมใน การทำประชาพิจารณ์ (Public hearing) และ/หรือให้ข้อเสนอแนะในเรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลหรือประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ อนึ่งทางบริษัทจัดการยังส่งตัวแทนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ESG Collective Action ที่มีการจัดตั้งขึ้นในนามของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และร่วมลงนามการใช้หลักเกณฑ์ Negative List ของกลุ่ม นักลงทุนสถาบัน กับนักลงทุนสถาบันรายอื่นในนามสมาคมจัดการลงทุน

การเพิ่มระดับในการติดตามในกิจการที่ลงทุน (Escalation)
หากประเด็นข้อกังวลยังไม่ได้รับการแก้ไขจนเป็นที่น่าพอใจ หลังจากเข้าทำ Engagement อย่างเต็มความสารถแล้ว ทางบริษัทจัดการอาจเพิ่มระดับในการติดตามตามลำดับดังต่อไปนี้
- ส่งหนังสือถึงคณะกรรมการบริษัท
- พิจารณาร่วมมือกับผู้ลงทุนอื่นตามความเหมาะสม
- งดการให้ความสนับสนุนแก่กรรมการ
- คัดค้านข้อเสนอของฝ่ายจัดการ
- สนับสนุนข้อเสนอของผู้ถือหุ้นในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี
- เผยแพร่ข้อกังวลต่อสาธารณะ
- เสนอรายชื่อกรรมการใหม่ต่อคณะกรรมการบริษัท
- เลือกที่จะไม่ลงทุนหรือยกเลิกการลงทุนในบริษัทนั้นๆ

การจัดลำดับความสำคัญของประเด็นการมีส่วนร่วม (Engagement Topics)

ประเด็นในการเข้าทำ Engagement อาจแตกต่างกันตามสถานการณ์/เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาจากนัยสำคัญของประเด็นที่มีผลกระทบต่อความยั่งยืนของธุรกิจที่แต่ละบริ​ษัทดำเนินการ อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดการได้จัดลำดับการให้ความสำคัญของประเด็นหลักด้าน ESG ในการทำเข้าทำ Engagement ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นพื้นฐานส่วนใหญ่ (Common issue and significant) และส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลการดำเนินงานของกิจการที่ลงทุน ดังนี้

  1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืนทางธรรมชาติ (Climate change and natural sustainability0
  2. ทุนมนุษย์ (Human Capital)
  3. กลยุทธ์ของบริษัท จุดมุ่งหมาย และการปรับตัวในการดำเนินงานเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลง (Company strategy, purpose and resilience)
  4. คุณภาพของคณะกรรมการบริษัท (Board quality)

    ข. การใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น (Proxy Voting)

    บลจ. กสิกรไทยมีความเชื่อมั่นว่าการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นส่วนสำคัญของการจัดการด้านการลงทุน ทางบริษัทจัดการได้กำหนดนโยบายภายในสำหรับการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น โดยหลักเกณฑ์ยังได้มีการพิจารณาถึงมุ่งเน้นที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจในประเด็นที่ครอบคลุมทุกด้านที่เกี่ยวกับ ESG ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้มีการทบทวนนโยบายการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้การใช้สิทธิออกเสียงเป็นไปด้วยความรอบคอบ มีประสิทธิผล และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ

    นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยยังได้สมัครใช้บริการงานวิจัยสำหรับคำแนะนำในการออกเสียงประชุมผู้ถือหุ้น (Proxy Research Service) จากหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบและอ้างอิงกับแนวทางในการปฏิบัติที่เป็นสากล อย่างไรก็ดี บริษัทจัดการสงวนสิทธิในการใช้วิจารณญาณของตนเองในการใช้สิทธิออกเสียงแทนผู้ถือหน่วยและลูกค้า

    ค. โครงการให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Lending Program)

    เนื่องจากบางกองทุนของบลจ.กสิกรไทยอาจเข้าร่วมในโครงการให้ยืมหลักทรัพย์ บริษัทจัดการจึงได้จัดทำหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
  • บลจ.กสิกรไทยจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่ไม่อนุญาตให้ยืม และปรับปรุงรายชื่อเป็นรายวัน โดยคำนึงถึงการใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จะเกิดขึ้นของหลักทรัพย์ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ
  • กรณีหลักทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการให้ยืม มีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้น ทางบริษัทจัดการมีนโยบายที่จะแจ้งให้ผู้ให้ยืมเรียกหลักทรัพย์คืนเพื่อมาใช้สิทธิ (Recall) ทุกครั้งอย่างเต็มความสามารถ เมื่อพิจารณาตามสถานการณ์นั้นๆ

​​