9/27/2023

อยากเกษียณเร็ว เกษียณไว​ สไตล์ Gen Z ไม่ใช่เรื่องยาก

ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยที่ยาวขึ้น โดยเฉลี่ยประชากรไทยจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถึงอีก 24 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี ซึ่งเงินออมอาจไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ หากยังไม่เริ่มลงทุนเพื่อการเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ 

ทำไมต้องลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ กับกองทุน K Target Retirement RMF

1. ยิ่งลงทุนนาน กำไรก็ยิ่งเพิ่มทบเป็นทุนเพื่อ "สร้างกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกแบบเท่าทวีคูณ" 
หากต้องการได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแบบทบต้น และบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้เร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย นักลงทุนควรจะเน้น “การลงทุนระยะยาว” เพราะเมื่อการลงทุนของคุณก่อให้เกิดรายได้ รายได้เหล่านี้จะถูกนำกลับไปลงทุนใหม่และสามารถสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นอีก หรือกล่าวได้ว่า “ยิ่งลงทุนเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เงินของคุณทำผลตอบแทนแบบทบต้นได้มากขึ้นเท่านั้น” 

ตัวอย่างกราฟด้านล่าง แสดงการเติบโตของพอร์ตการลงทุน (กระจายลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40%) โดยลงทุนเดือนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปี ตั้งแต่เดือนม.ค. 2546 ถึงเดือนธ.ค. 2565 ซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดจะคิดเป็นเพียง 240,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอร์ตการลงทุนสามารถเติบโตได้มากถึง 454,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงปีหลังๆ ของการลงทุน เงินลงทุนจะยิ่งเติบโตเร็วขึ้น จากผลตอบแทนที่ทบต้น ทำให้เงินลงทุนเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี

Chart 1: การเติบโตของพอร์ตการลงทุน 
(กระจายลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40%) โดยลงทุนเดือนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
01.jpg
ที่มา: Capital Group, MSCI และ Bloomberg
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต (ณ 30 มิ.ย. 2566) 

คำนวณโดยใช้ผลตอบแทนรายเดือนในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีชี้วัดตราสารทุนคือ MSCI ACWI (รวมเงินปันผลที่หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว) และดัชนีชี้วัดตราสารหนี้คือดัชนี Bloomberg Global Aggregate Total Return ปรับด้วยต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเทียบกับค่าสกุลเงินดอลลาร์

2. การลงทุนระยะยาว "ช่วยลดโอกาสขาดทุน" หากตลาดมีการปรับตัวลงในระยะสั้น
นักลงทุน ควรลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) เพื่อที่จะช่วยลดความผันผวนและเพิ่มศักยภาพการลงทุนในระยะยาว เช่นในช่วงที่เป็นภาวะตลาดหมี (Bear Market) นักลงทุนอาจกังวลเมื่อพอร์ตการลงทุนติดลบ และไม่กล้าลงทุนจนทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร 

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือ อย่าจับจังหวะตลาด (Don’t time the market) เนื่องจากการคาดเดาว่าตลาดจะฟื้นขึ้นเมื่อไรเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และนักลงทุนอาจพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว

ตัวอย่างกราฟด้านล่าง แสดงให้เห็นว่าภาวะตลาดหมี (Bear Market: ช่วงที่ตลาดเป็นขาลง) มักจะมีระยะเวลาสั้นกว่า โดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1950 จะอยู่ที่ 12 เดือน เมื่อเทียบกับภาวะตลาดกระทิง (Bull Market: ช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น) ซึ่งมีระยะเวลานานกว่า 5 เท่า เฉลี่ยอยู่ที่ 67 เดือน นอกจากนี้ Bull Market โดยเฉลี่ยมีกำไรเพิ่มขึ้น 265% ในขณะที่ Bear Market โดยเฉลี่ยขาดทุน -33%

Chart 2 :  ผลตอบแทนสะสม ของตลาดกระทิง และตลาดหมี ในดัชนี S&P500 (%)​
02.jpg
ที่มา: Capital Group, RIMES และ S&P Dow Jones Indices LLC.
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต (ณ 30 มิ.ย. 2566) 

"ภาวะตลาดหมี (Bear Market) คือ ช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นติดลบมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดในช่วงก่อนหน้า และ ภาวะตลาดกระทิง (Bull markets) คือ ช่วงเวลาที่เหลือ" 

ทั้งนี้ หากเลือกลงทุนกับกองทุน K2035RMF และ K2040RMF​ จะมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาด พร้อมปรับลดความเสี่ยงของพอร์ตให้อัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้วันเกษียณอายุ 

3. กองทุนเน้น "กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก" เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า 

ในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอน เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่รู้สึกคุ้นเคยมากที่สุด แต่หากนักลงทุนเลือกกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่นๆ อาจสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า จากศักยภาพในการเติบโตของบริษัทที่หลากหลายในตลาดทั่วโลก 

ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2566) หุ้นเด่นในแต่ละปีมาจากตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)  โดยหุ้นไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นติด 50 อันดับแรกจะมีอยู่เฉพาะในปี 2557, 2562 และ 2565 เท่านั้น

"ดังนั้น การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศทั้งหมด หรือการไม่มี Home Bias นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า การเน้นลงทุนภายในประเทศเพียงอย่างเดียว"

เนื่องจากกองทุนมีความยืดหยุ่นทางการลงทุนสูง จึงมีโอกาสเข้าลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในต่างประเทศ เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หรือการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระดับความเสี่ยงต่ำอย่างพันฐบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นต้น

Chart 3 : หุ้น 50 อันดับแรกในแต่ละปีตามภูมิภาค
03.jpg

ที่มา: MSCI, FactSet และ RIMES.
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต (ณ 30 มิ.ย. 2566)  
ทั้งนี้ หุ้น 50 อันดับแรกคือบริษัทที่มีผลตอบแทนรวมสูงสุดในดัชนี MSCI ACWI ในแต่ละปี​​

MicrosoftTeams-image (129).png

กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com​

บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 26 กันยายน 2023

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
อัปเดตวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน …เกิดอะไรขึ้น?​ >>Click
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ...แต่ไม่ชัดว่าเป็นครั้งสุดท้าย​ >>Click
สรุปสัญญาณ จากประชุม Politburo ของจีน​​ >>Click​
GDP จีนไตรมาสแรกขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด >>Click​​


Yes
9/27/2023
0