5/19/2023

เมื่อหุ้นสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ...ลงทุนตอนนี้ ยังทันหรือไม่?​

อย่างที่ทราบกันดีว่า กองทุน K-USA ได้มีการเปลี่ยนกองทุนหลักใหม่ เป็นกองทุน “Brown Advisory US Sustainable Growth Fund” โดยมีผลตั้งแต่ 16 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนหลักใหม่นี้ ก็มีนโยบายการลงทุนที่ใกล้เคียงกับกองทุน Morgan Stanley US Advantage (กองทุนหลักเดิม) ในหลายๆ ด้าน เช่น

• เป็นพอร์ต High Conviction ที่มีการลงทุนในหุ้นประมาณ 30-40 ตัวใกล้เคียงกัน แต่มีความต่างคือหุ้นในพอร์ตจะมีน้ำหนักประมาณ 1-5% จึงจะไม่มีหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่สามารถส่งผลกระทบต่อพอร์ตได้มากเกินไป ขณะที่กองทุนหลักเดิมอาจให้น้ำหนักหุ้นต่อตัวสูงถึง 10%
• เน้นการลงทุนในหุ้น Large-Cap Growth เช่นเดิม

จุดเด่นของกองทุนหลักใหม่ ที่ทำให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุน มีดังนี้
• เน้นลงทุนในธุรกิจที่กำไรสามารถเติบโต ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอย่างสม่ำเสมอ
• ผลการดำเนินงานอยู่ในกลุ่ม 1st Quartile อย่างสม่ำเสมอ และเอาชนะดัชนี S&P 500 ได้ 7 ปีจากทั้งหมด 10 ปี (ข้อมูล Morningstar ณ วันที่ 19 เม.ย. 2566)
• ได้รับการจัดอันดับ 4 ดาว Morningstar (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566)

อัพเดทการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ
แม้ปีนี้ตลาดการเงินจะยังมีความผันผวนอยู่ จากทั้งปัญหาเงินเฟ้อ นโยบายการเงินที่ตึงตัว ภาวะเศรษฐกิจชะลอ รวมถึงปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐฯและยุโรป แต่ตลาดหุ้นโลกก็สามารถทำผลตอบแทนได้ดี 

โดย “หนึ่งในตลาดหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นในปีนี้คือสหรัฐฯ” ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 21% ส่วนดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนกว่า 9% (ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 18 พ.ค. 2566) 

“สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยง และมีมุมมองว่า จุดต่ำสุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะผ่านไปแล้ว หลังจากที่พากันร่วงลงแรงในปีที่ผานมา (NASDAQ -33% และ S&P500 -19%)”

ปัจจัยบวกที่ทำให้หุ้นสหรัฐฯ กลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น คือ
1. กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยรวมที่ยังขยายตัวได้ดี และสถานการณ์ในภาคธนาคารดูไม่บานปลายจากการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
2. ตัวเลขเงินเฟ้อที่สำคัญอย่าง ดัชนี CPI และ PPI ชะลอตัวต่อเนื่อง ช่วยลดแรงกดดันการดำเนินนโยบายการเงินจาก Fed ตลาดคาดอาจหยุดขึ้นหรือมีการลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 - 4 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาด 
3. วัฎจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีแนวโน้มใกล้จบแล้ว ซึ่งช่วยลดแรงกดดันในหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth) และทำให้หุ้นกลุ่มนี้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ในฐานะหุ้นที่มีราคาถูกและมีแนวโน้มเติบโตสูง
4. แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีเกิดโอกาสถดถอยแบบไม่รุนแรง (mild recession) รวมถึงการที่ Fed อาจต้องคงดอกเบี้ยในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อหนืด แต่บริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงสามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังลูกค้าได้ จะสามารถเป็นผู้ชนะได้
5. ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ 

คำแนะนำการลงทุน
ความแตกต่างของมุมมองดอกเบี้ยระหว่างของ Fed ที่มีแนวโน้มจะยังคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี กับที่ตลาดมองว่าน่าจะมีการปรับลดในปีนี้ จะทำให้ตลาดยังมีความผันผวนอยู่ นอกจากนี้ คาดว่าความอ่อนแอของตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเริ่มทยอยออกมาเรื่อยๆ จากผลกระทบที่อัตราดอกเบี้ยยังที่อยู่ในระดับสูง 

“อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสการลงทุนในกลุ่มประเทศ หรือภูมิภาคที่เศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี เช่น จีน เอเชีย โดยการฟื้นตัวของจีนทำให้ประเทศต่างๆในเอเชียจะได้อานิสงส์ไปด้วย ทำให้ GDP ของเอเชียเป็นภาพขาขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวลง”

ผู้ที่ถือหน่วยลงทุนเดิม : แนะนำให้ถือหน่วยลงทุนต่อไปได้ 
จาก Valuation มีการปรับลงมามาก รวมถึงการคาดการณ์ที่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ใกล้จบแล้ว จึงจะช่วยลดแรงกดดันในหุ้นกลุ่ม Growth (กลุ่มที่กองทุนหลักเน้นลงทุน) และทำให้หุ้นกลุ่มนี้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ในฐานะหุ้นที่มีราคาถูกและมีแนวโน้มเติบโตสูง

ผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม : แนะนำให้รอประเมินสถานการณ์ 
ตลาดในระยะนี้จะยังผันผวน​ จากแนวโน้มศรษฐกิจที่ชะลอลง ท่ามกลางต้นทุนทางการเงินที่ยังคงอยู่ระดับสูง และโอกาสที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางถูกปิดกิจการเพิ่มเติม

กองทุนแนะนำ จาก KAsset 

กองทุนหุ้นจีน: K-CCTV จากเศรษฐกิจจีนที่เป็นภาพของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศ และเป็นสัญญาณการลงทุนระยะยาว ที่เน้นการพึ่งพาตัวเองและ ลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศเป็นหลัก 

กองทุนหุ้นไทย: K-STAR​ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่่องจากแรงหนุนด้านภาคการท่องเที่ยวและการบริโภค ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว รวมถึงราคาหุ้นไทยยังอยุ่ในระดับที่เหมาะสม จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยเข้าสะสม

กองทุนผสม: K-PLAN2, K-PLAN3​ สำหรับผู้ที่ยังมีความกังวลในหุ้น อาจเลือกลงทุนแบบผสมเน้นสินทรัพย์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจำกัดกว่าการลงทุนในต่างประเทศที่มีความผันผวนในปัจจุบัน

กองทุน LTF​: แนะนำให้ถือเพื่อรับผลประโยชน์ต่อไป โดย KAsset ยังมองเป้า SET Index ปลายปีนี้ที่ 1750 จุด

หมายเหตุ ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษานโยบายกองทุนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com

บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย 
ข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2023

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 
เกิดอะไรขึ้น? เมื่อ GDP สหรัฐฯ โตเพียง 1.1% >>Click​
มุมมองการลงทุนหลังเกิดวิกฤต Credit Suisse >>Click
เศรษฐกิจจีนไตรมาสแรก ขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด​ >>Click
กองทุน LTF ครบกำหนด ..ทำอย่างไรดี ? >>Click​
Yes
5/19/2023
0