HIGHLIGHTS :
• นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งหลังของปีหน้า
• คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะถดถอยใน 6 เดือนข้างหน้า จากวิกฤตพลังงานและเงินเฟ้อ
• เอเชียกำลังกลับมาผงาด จากสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
• วิกฤตพลังงานดั้งเดิม เป็นโอกาสให้ลงทุนในพลังงานทดแทน
• อย่าหวั่น Recession เพราะเป็นโอกาสทยอยซื้อ หุ้นดี ราคาถูก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย
ในทุกวิกฤตมี “โอกาส” อยู่เสมอ ถ้ารู้จักเฟ้นหา “ตลาด” ที่เหมาะสม คัดเลือก “สินทรัพย์” ที่มีพื้นฐานดี ก็อาจทำให้ช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เสี่ยงจะถดถอยสูงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น “จังหวะ” ดีในการทยอยสะสมของดีราคาถูกกว่าปกติ
Market Spotlight ep8: ชี้เป้าตลาดเด่น ฝ่ากระแส Recession🚨ในทุกวิกฤตมี “โอกาส” อยู่เสมอ ถ้ารู้จักเฟ้นหา “ตลาด” ที่เหมาะสม แค่ “คัดเลือกสินทรัพย์” ที่มีพื้นฐานดี
ตอนนี้ เศรษฐกิจโลกเสี่ยงเกิด Recession แต่นั่นคือ “จังหวะที่ดี” ในการทยอยสะสมของดีราคาถูกกว่าปกติ
✅บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนที่น่าสนใจสำหรับช่วงปลายปี 3 สไตล์ ตามความเสี่ยง….👇🏻
- ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
#KAsset #คำตอบที่ใช่ของการลงทุน #เรื่องกองทุนคุณเชื่อได้
โพสต์โดย KAsset เมื่อ วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2022
Recession กำลังมา หนีไม่พ้นแน่นอน
นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งหลังของปีหน้า หลัง Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงหลายครั้งติดต่อกัน พร้อมใช้มาตรการดอกเบี้ยแบบ "ขึ้นแล้วคง" (Hike and Hold) แทนที่จะใช้มาตรการ "ขึ้นแล้วลง" (Hike and Cut) ประธาน Fed ย้ำว่า จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะจัดการเงินเฟ้อได้อยู่หมัด หรือเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 2% และยอมรับว่า ไม่มีใครรู้ว่ากระบวนการนี้จะทำให้เกิดภาวะถดถอย (Recession) หรือไม่และจะรุนแรงแค่ไหน
ส่วนฝั่งสหภาพยุโรป ตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะถดถอยใน 6 เดือนข้างหน้า ผลกระทบจากวิกฤตพลังงานรุมเร้า และเงินเฟ้อพุ่งทำนิวไฮ ด้านธนาคารโลก ก็เตือนว่า การที่ทั่วโลกพร้อมใจกันขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อแบบนี้ จะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023
ลงทุนอย่างไร? หากเกิด Recession
หากเกิด Recession ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบแน่นอน โดยจากสถิติการเกิด Recession เพราะ Fed ขึ้นเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อนั้น ในยุค 1982-1983 ผลกำไรของ S&P 500 ลดลง 14% ส่วนยุค 1793-1974 กำไรลดลง 15%
ช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ นักลงทุนที่ไม่อยากปรับพอร์ตตามภาวะตลาดบ่อยๆ ควรใช้กลยุทธ์ลงทุนตาม Mega Trends โลกที่ยังไปได้อีกไกล และหุ้นกลุ่มนี้สามารถเติบโตได้ดีในระยะยาว 3-5 ปี อย่างเช่น เทรนด์ “เอเชียผงาด” และ “พลังงานทดแทน”
ตลาดหุ้น “เอเชีย” กำลังกลับมาผงาด
ขณะที่ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปจะซึมลึกไปแค่ไหน หลายประเทศในเอเชีย เช่น เวียดนาม จีน และญี่ปุ่น กำลังมีสัญญาณที่ดีขึ้น
“เวียดนาม” กำลังเนื้อหอมสุดๆ เป็นฐานการผลิตสำคัญแห่งใหม่ของอุตสาหกรรมไอทีโลก แรงงานหนุ่มสาวจำนวนมากและค่าแรงที่ยังถูกคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามให้สดใสกว่าใครๆ ปัจจัยภายในประเทศยังดูดี ทั้ง GDP แข็งแกร่ง และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูง ข่าวร้ายต่างๆ คลี่คลาย และเริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“ประเทศจีน” ก็เน้นการเติบโตแบบมีเสถียรภาพ ไม่ต้องโตหวือหวาเหมือนเมื่อก่อน มีนโยบายชัดว่าจะหนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ และพลังงานทดแทน และคาดว่าหลังการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลางเดือนต.ค. มีโอกาสจะเห็นมาตรการผ่อนคลายโควิดมากขึ้น เพื่อเอื้อการทำธุรกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายของคนมากขึ้น
หลายฝ่ายมองว่า ตลาดหุ้นจีนน่าจะแตะจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย. และพ.ค. ที่ผ่านมา ดังนั้น จากนี้ไปน่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ประเทศญี่ปุ่น” ภาครัฐก็ยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุดประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ 11 ต.ค. จะช่วยให้การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น
“วิกฤต” พลังงานดั้งเดิม “โอกาส”พลังงานทดแทน
โลกกำลังถึงยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานครั้งใหญ่ โดยตัวเร่งสำคัญคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาโลกร้อน ข้อมูลจาก International Energy Association (IEA) ระบุว่า การลงทุนพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 8% แตะระดับ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 โดยในส่วนนี้จะเป็นการลงทุนพลังงานสะอาดราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโตแบบช้าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อย่าหวั่น Recession โอกาสตุน “หุ้นดี ราคาถูก”
ปีนี้ คือโอกาสดีสำหรับการทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต เพราะหุ้นดี พื้นฐานเด่นหลายกลุ่มราคาย่อตัวลงมามากแล้ว จึงเป็นจังหวะสะสมกองทุนดี ราคาถูก พร้อมรอโอกาสเติบโตไปพร้อมการฟื้นตัว ปลายปีแล้วจะลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีหรือกองทุนรวมทั่วไป
บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนที่น่าสนใจ 3 สไตล์ ตามความเสี่ยง ได้แก่ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง
กองทุนหุ้นเวียดนาม ที่เน้นลงทุนหุ้นบริษัทเวียดนามชั้นนำและเน้นกลุ่มที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เพื่อคว้าโอกาสเติบโตไปพร้อมตลาดดาวรุ่ง ฐานการผลิตสำคัญแห่งใหม่ของโลก ที่จะมีบทบาทมหาศาลต่อการค้าโลกระยะต่อไป
ใครที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ควรเลือกกองทุนผสม ที่เน้นกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วทุกมุมโลก
ส่วนคนที่ชอบหุ้นไทย และเห็นโอกาสจากการเปิดประเทศ แนะนำให้ลงทุนใน กองทุนหุ้นไทยพื้นฐานดี มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
สุดท้าย ใครที่ต้องการพักเงินเพื่อรอดูจังหวะตลาดที่ยังไม่ค่อยแน่นอน แนะนำปรับพอร์ตไปเน้นลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูง ผันผวนต่ำ จะช่วยลดความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนของคุณ
บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 7 ต.ค. 2565
หมายเหตุ "ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน"
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ตลาดหุ้นเวียดนาม ปรับลดลง 4% >>
อ่านต่อกนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1% >>
อ่านต่อECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูง >>
อ่านต่อ