ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ก.พ.) โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 1.7% ถือเป็นการปรับตัวลงแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2024 ขณะที่ Nasdaq Composite ลดลงถึง 2.2% ซึ่งเป็นการลดลงสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2025
ปัจจัยหลักที่กดดันตลาด
• ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก University of Michigan ลดลงสู่ระดับ 64.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ ต่ำสุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 สะท้อนถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและผลกระทบจากภาษีศุลกากร
- ยอดขายบ้านมือสองชะลอตัว ของเดือนมกราคมลดลง 4.9% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระดับสูง
- ภาคบริการหดตัว S&P Global U.S. Services PMI ลดลงสู่ 49.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ (จาก 52.9) แสดงถึงการหดตัวของภาคบริการเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองปี
• นโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์
โดยการประกาศขึ้นภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ และอาจขยายไปสู่เซมิคอนดักเตอร์และเวชภัณฑ์ ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
• แรงกระเพื่อมจากภาคเทคโนโลยี DeepSeek สร้างแรงกดดันต่อหุ้นเทคฯ
โดยหลังจากที่ DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ R1 ที่ใช้ชิปประมวลผลระดับรองลงมา (lower-tier chips) แต่ยังสามารถแข่งขันกับโมเดลชั้นนำจากสหรัฐฯ ได้ ส่งผลให้เกิดข้อกังขาว่าชิปประสิทธิภาพสูงของ NVIDIA และบริษัทอื่นๆ อาจไม่จำเป็นเท่าเดิม
• ปัจจัยทางเศรษฐกิจพื้นฐาน: การมาของ Trump ยังคงเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯโดยรวม แต่จะเห็นความผันผวนที่เพิ่มขึ้นมาก
• ความสนใจในการลงทุนในหุ้นทั้งฝั่งเอเชียเริ่มกลับมามีความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีจากจีน
• ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม: แนวโน้มชะลอลงของเศรษฐกิจทำให้ Bond yield ปรับลด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาด อีกทั้งดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ยังมีกระสุนในการปรับลดได้ในอนาคต หากมีความจำเป็น
• จับตาภาคเทคโนโลยี: ความก้าวหน้าของ AI อาจเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะ demand ใน Chip ประมวลผลสำหรับกระบวนการ post-training ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AI หลังการ train ซึ่งจะมี demand เพิ่มขึ้นได้อีกมาก
คำแนะนำการลงทุน
KAsset แนะนำให้ลงทุนเป็น Portfolio และจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี พร้อมลดความเสี่ยงลง ดังนี้
สำหรับเป็น Core Portfolio น้ำหนัก 80% แนะนำกองทุนผสม หรือ Multi-Asset เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว
สำหรับเป็น Satellite Portfolio น้ำหนัก 20% เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะสั้น
แนะนำกองทุนเด่นรายภูมิภาคและอุตสาหกรรมทั่วโลก
•
K-GSELECT : กองทุนหุ้นทั่วโลกที่ออกแบบการลงทุนมา เพื่อให้เป็นเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตหุ้นโลก (Core Equity)
•
K-GTECH : ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนําทั่วโลก กองทุนหลักได้รับ Morningstar 5 ดาว (31 ม.ค. 2025)
•
K-USA : เน้นลงทุนในหุ้นชั้นนำในสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างสม่ำเสมอ
•
K-VIETNAM : เน้นลงทุนตรงในหุ้นเวียดนาม ที่เศรษฐกิจยังเติบโตแข็งแกร่ง กองทุนได้รับ Morningstar 4 ดาว (31 ม.ค. 2025)
•
K-PROPI-A(D) : เน้นลงทุนใน REITs ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง กองทุนได้รับ Morningstar 4 ดาว (31 ม.ค. 2025)
สำหรับพักเงิน ตามระยะเวลาที่ถือครองได้ แนะนำ
•
K-SF : แนะนำลงทุนอย่างน้อย 1-3 เดือน
•
K-SFPLUS : แนะนำลงทุนอย่างน้อย 3-6 เดือน
•
K-FIXED : แนะนำลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี