11/03/2563

​บลจ.กสิกรไทย ปันผล LTF 3 กองทุน กว่า 400 ล้านบาท เผยตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากปัจจัยภายนอก

​นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) กองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF) และกองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 โดยทั้งหมดจะจ่ายในอัตรา 0.14 บาทต่อหน่วย และมีกำหนดจ่ายพร้อมกันในวันที่ 13 มีนาคม 2563 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 419.15 ล้านบาท​

นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า กองทุน KDLTF, KGLTF และ K70LTF ทั้ง 3 กองทุน มีนโยบายจ่ายปันผลปีละไม่เกิน 2 ครั้ง และมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management Strategy) ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ กองทุน LTF ภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.กสิกรไทย ยังคงได้รับการดูแลจากทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นไทยศักยภาพดี ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงวางใจได้ว่ากองทุน LTF ของกสิกรไทย จะยังคงได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
 
“สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย ยังมีปัจจัยกดดันในหลายประเด็นทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย อีกทั้งประเด็นล่าสุดจากการที่ OPEC และกลุ่มพันธมิตร ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านบาร์เรลจากการประชุมในวันที่ 6 มี.ค. 63 ที่ผ่านมา ประกอบกับซาอุดิอาระเบียประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบของตนเองลงอีก 6-8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งมีท่าทีเพิ่มกำลังการผลิตหลังข้อตกลงสิ้นสุดในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. 63 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ (Brent) ปรับลดลงรุนแรงจากก่อนการประชุมอยู่ที่ระดับ 50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 31.2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 9 มี.ค. 63 ซึ่งลดลงถึง 37% ทำให้ส่งผลลบต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รวมถึงกดดันดัชนีราคาหุ้นให้ปรับลดลงแรงตาม” นางสาวธิดาศิริกล่าว

นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สามารถควบคุมได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะทยอยประกาศออกมาใช้ รวมทั้งเม็ดเงินลงทุน และการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มเห็นในเดือนเม.ย. 63 ประกอบกับสภาพคล่องที่มีอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาน้ำมันมีการปรับลดลงแรง บลจ.กสิกรไทย จึงอยู่ระหว่างพิจารณาปรับตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจากเดิมที่เคยคาดไว้ 4% อาจจะติดลบได้ เนื่องจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีน้ำหนักสูงถึงเกือบ 16% ของตลาด (ไม่รวมกลุ่มสาธารณูปโภค) ที่ถึงแม้ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากระดับราคาน้ำมันที่ต่ำ เนื่องจากมีการนำเข้าพลังงานสุทธิเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่การปรับลดลงของราคาน้ำมันทำให้หุ้น Energy Sensitive มีการปรับลดลงตาม รวมถึงผลกระทบในเชิงจิตวิทยาของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกด้วย ทั้งนี้ สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและยังคงต้องจับตาต่อไป

สำหรับผู้ลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนของกองทุน LTF จนครบกำหนดตามเงื่อนไขทางภาษีของกรมสรรพากร และยังคงต้องการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีศักยภาพสูง แนะนำว่ายังสามารถถือหน่วยลงทุนต่อไปได้ เพื่อโอกาสทำกำไรในระยะยาว

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน


ประเภท