3/21/2025

มองหุ้นไทยในมุมใหม่ : จ่ายปันผลสูงและการซื้อหุ้นคืนช่วยเสริมความเชื่อมั่น (ตอนที่ 2)​

​Highlights :
• ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาระดับต่ำในรอบหลายปี และลงมามากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน สะท้อนถึงวิกฤตความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนไทย
• บทวิจัย KCMA คาดการณ์ว่าการเติบโตของรายได้บริษัทจดทะเบียนไทยในอนาคตมีการชะลอลง ไปเป็นทิศทางเดียวกับ GDP ที่ชะลอลง โดยเห็นการปรับคาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นไทยลดลงมาต่อเนื่องประมาณ 12-13% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
• อย่างไรก็ดี Valuation หุ้นไทยตอนนี้อยู่ระดับเดียวกันกับช่วง Covid-19 แล้ว ทั้งระดับ Forward P/BV ที่ 1.1 เท่า ต่ำสุดในรอบ 15 ปี ตั้งแต่ปี 2553 หรือระดับ Forward P/E ที่ 11.8 เท่า 
• นอกจากนี้ หุ้นหลายตัวมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูงขึ้น โดยปัจจุบัน อัตราคาดการณ์เงินปันผล (Dividend Yield) ของ SET อยู่ที่ 4.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ผ่านมาที่ 3.2%
• อนึ่ง การซื้อหุ้นคืนก็ยังมีบทบาท ลดความผันผวน และสร้างพื้นฐานราคาหุ้นที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงวิกฤต (เช่น ช่วยดึงราคาหุ้นกลับหลังร่วงหนักในปี 2563 ในหลายประเทศ) และช่วยให้รอบฟื้นตัวของตลาดมีแรงส่งที่ดีขึ้นเมื่อปัจจัยอื่นเอื้ออำนวย

สรุปมุมมองการลงทุน จาก KAsset  
• มองว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม มีโอกาสให้ปันผลที่สูงต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าต่ำมูลค่าทางบัญชี และไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม 
• รวมไปถึงหุ้นที่มีความสามารถในการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารตัวเลขทางการเงินให้ดีขึ้นนั้น นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณาลงทุน แต่ต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
​​

ตอนที่ 2 : บทวิจัย การซื้อหุ้นคืน

บริษัทจดทะเบียนไทย ประกาศซื้อหุ้นคืนสูงสุดเป็นประวัติการในปี 2568 นี้​
แนวโน้มการซื้อหุ้นคืนในปีนี้ของตลาดหุ้นไทยมีความโดดเด่นอย่างยิ่ง โดยจากข้อมูลที่รวบรวมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET.or.th) และแหล่งข่าวต่าง ๆ พบว่ามีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนภายในปีนี้ ทั้งในกลุ่มขนาดใหญ่ เช่น PTT ที่ประกาศวงเงินซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 16,000 ล้านบาท, HMPRO วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท, และ TTB วงเงิน 7,000 ล้านบาท รวมถึงบริษัทอื่น ๆ เช่น TU, PSL, SKR, ASP, STEC, LPN, SUSCO ที่มีวงเงินโครงการตั้งแต่หลักร้อยถึงหลายพันล้านบาท โดยรวมเฉพาะบริษัทที่ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วในช่วงต้นปี มูลค่ารวมของการซื้อหุ้นคืนมีแนวโน้มทะลุ 30,000 ล้านบาท 

ซึ่งหากดำเนินการครบตามแผน จะสูงกว่าปี 2020 ที่เคยมีมูลค่าซื้อหุ้นคืนรวมสูงสุดที่ 25,731 ล้านบาท พร้อมกันนี้จำนวนบริษัทที่เข้าร่วมก็มากกว่า 10 บริษัทแล้ว และคาดว่าอาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดปี จึงสามารถกล่าวได้ว่า ปี 2025 มีแนวโน้มอย่างมากที่จะกลายเป็นปีที่มีมูลค่าการซื้อหุ้นคืนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย ทั้งในเชิงจำนวนบริษัทและเม็ดเงินรวม สะท้อนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อตลาดทุน และเป็นสัญญาณบวกเชิงโครงสร้างต่อการฟื้นตัวของหุ้นไทยในระยะยาว หากบริษัทต่าง ๆ ดำเนินการตามแผนที่ประกาศไว้จนเสร็จสิ้นภายในปีนี้

ในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มการซื้อหุ้นคืน (Share Repurchase) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง share repurchase ทางเลือกจัดการสภาพคล่อง และสะท้อนมูลค่าบริษัท ณ กันยายน 2024 นั้น พบว่าในช่วงเวลาที่ SET Index ปรับตัวลดลง เช่น ปี 2013 (QE Taper Tantrum), ปี 2020 (โควิด-19) และต้นปี 2024 (ความผันผวนภายในประเทศ) มีการทำรายการซื้อหุ้นคืนโดยบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นกว่าปีอื่นๆ 

เช่น ปี 2020 เป็นปีที่มี มูลค่าการซื้อหุ้นคืนสูงสุด ทั้งในแง่จำนวนโครงการ (19 โครงการ) และมูลค่า (25,731 ล้านบาท) เนื่องจากภาวะโควิดทำให้บริษัทจำนวนมากใช้ buyback เพื่อพยุงราคาหุ้น และใน ปี 2022–2024 มีแนวโน้มการใช้ buyback อย่างต่อเนื่อง โดยความสัมพันธ์ของการซื้อหุ้นคืน กับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น พบว่า  การซื้อหุ้นคืน มีความเชื่อมโยงเชิงบวก กับการฟื้นตัวของราคาหุ้นและผลตอบแทนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นสัญญาณว่าเครื่องมือนี้ เริ่มถูกใช้จริงจัง มากขึ้นในไทย

 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการซื้อหุ้นคืนมากที่สุด (ปี 2023–2024)​
image (19).png
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการทำ share repurchase สูงสุดในช่วงที่ผ่านมาหลัง covid-19 ได้แก่ บริการ เกษตรและอาหาร และเทคโนโลยีแต่ในช่วงปี 2022 ถึงปัจจุบัน เริ่มกระจายไปยัง กลุ่มการเงิน (ธนาคาร), พลังงาน (PTT) และ อสังหาริมทรัพย์ สะท้อนว่าการซื้อหุ้นคืนเริ่มเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการส่งสัญญาณถึงราคาหุ้นที่อาจต่ำเกินมูลค่าในมุมมองของผู้บริหาร เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้น โดยเห็นการขยายตัวการซื้อหุ้นคืนไม่เฉพาะกลุ่ม SET50 แต่มีการขยายไปบริษัทนอก SET100 ในปี 2024 สูงขึ้น เช่นกัน

ข้อสังเกต พบว่า บริษัทที่มีโครงการซื้อหุ้นคืนมักมีอัตราส่วนสภาพคล่องสูง (Current Ratio > 1.5) และไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ระยะสั้น และผลกระทบต่อ ROE และ EPS ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในบริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับประเทศอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ การซื้อหุ้นคืนในไทยยังถือว่ามีสัดส่วนไม่มากนัก โดยญี่ปุ่นมีโครงการส่งเสริมการเพิ่ม ROE ผ่านการซื้อหุ้นคืนและดัชนี JPX Prime 150 ขณะที่เกาหลีก็มีมาตรการเชิงรุกเช่นกัน 

ดังนั้นแม้ไทยจะเริ่มใช้เครื่องมือนี้มากขึ้น แต่หากจะเพิ่ม ROE ในระดับภาพรวมของบริษัท ยังต้องการแรงสนับสนุนเชิงนโยบายและวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคตมากกวาแค่เพื่อพยุงราคาหุ้นระยะสั้น

ปีที่มีการซื้อหุ้นคืนสูง สำหรับตลาดไทย เกิดในปีที่ตลาดหุ้นลงแรง หรือเศรษฐกิจผันผวน 
แต่​ต่างจากต่างประเทศ ที่มักซื้อหุ้นคืนในปีบริษัทมีผลกำไรและสภาพคล่องดี​
โดยการเปรียบเทียบข้อมูลจากประเทศอื่นๆ พบว่าปีที่มีการซื้อหุ้นคืนสูง มักบ่งชี้ว่าบริษัทมีผลกำไรและสภาพคล่องดี ซึ่งโดยทั่วไปก็สอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง (เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่นในปี 2021–2023 ที่กำไรบริษัททำสถิติใหม่และมีการซื้อคืนหุ้นมหาศาล ส่งผลให้ตลาดขึ้นด้วย). 

ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจผันผวนหรือเกิดวิกฤต (เช่น ปี 2020 ต้นปี, ปี 2022) ตลาดหุ้นอาจปรับลดลงแรงแม้บริษัทจะเพิ่มการซื้อหุ้นคืน เพราะความกลัวของนักลงทุนมีน้ำหนักมากกว่า. อย่างไรก็ดี การซื้อหุ้นคืนก็ยังมีบทบาท ลดความผันผวน และสร้างพื้นฐานราคาหุ้นที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงวิกฤต (เช่น ช่วยดึงราคาหุ้นกลับหลังร่วงหนักในปี 2020 ในหลายประเทศ) และช่วยให้รอบฟื้นตัวของตลาดมีแรงส่งที่ดีขึ้นเมื่อปัจจัยอื่นเอื้ออำนวย

การซื้อหุ้นคืน รวมถึงการจ่ายปันผลสูงต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยบวกเชิงโครงสร้าง ที่ช่วยยกระดับผลตอบแทนและเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะยาวได้ในสายตานักลงทุนไทยและต่างชาติ  เนื่องจากเป็นการเพิ่ม ROE และมูลค่าหุ้น รวมถึงเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน , ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น (หุ้นเน้นคุณค่าได้รับการ re-rate), และ ดึงดูดเงินทุนคุณภาพเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย มากขึ้น  การประกาศซื้อหุ้นคืน (โดยเฉพาะจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีนัยต่อตลาด) ถือเป็น สัญญาณเชิงบวก ที่ผู้ลงทุนรับรู้ได้ทันทีว่าผู้บริหารพร้อมใช้เงินบริษัทลงทุนในหุ้นตัวเอง. 

ในภาวะที่เงินทุนต่างชาติผันผวน การมีนโยบายเชิงรุกคืนกำไรผู้ถือหุ้นจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น อย่างกรณีของญี่ปุ่นในปี 2023 ชี้ชัดว่าเมื่อบริษัทแสดงความมุ่งมั่นในการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้น (ผ่าน buybacks และปฏิรูปธรรมาภิบาล) นักลงทุนต่างชาติระดับโลกก็กลับเข้าลงทุน (ญี่ปุ่นปีนั้นมียอดซื้อสุทธิจากต่างชาติสูงเป็นประวัติการณ์พร้อมกับข่าว Warren Buffett เพิ่มลงทุนในบริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น) ​

บทสรุป 
สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ปีที่มีการซื้อหุ้นคืนสูง มักบ่งชี้ว่าบริษัทมีผลกำไรและสภาพคล่องดี ซึ่งโดยทั่วไปก็สอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง (เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่นในปี 2021–2023 ที่กำไรบริษัททำสถิติใหม่และมีการซื้อคืนหุ้นมหาศาล ส่งผลให้ตลาดขึ้นด้วย). 

แต่สำหรับตลาดไทย ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจผันผวนหรือเกิดวิกฤต (เช่น ปี 2020 ต้นปี, ปี 2022) ตลาดหุ้นอาจปรับลดลงแรงแม้บริษัทจะเพิ่มการซื้อหุ้นคืน เพราะความกลัวของนักลงทุนมีน้ำหนักมากกว่า 

'อย่างไรก็ดี การซื้อหุ้นคืนก็ยังมีบทบาท ลดความผันผวน และสร้างพื้นฐานราคาหุ้นที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงวิกฤต (เช่น ช่วยดึงราคาหุ้นกลับหลังร่วงหนักในปี 2020 ในหลายประเทศ) และช่วยให้รอบฟื้นตัวของตลาดมีแรงส่งที่ดีขึ้นเมื่อปัจจัยอื่นเอื้ออำนวย'

อ้างอิง :
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปีที่มีการทำ buyback สูงกับ ผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ พบภาพที่น่าสนใจในแต่ละประเทศ:

• ประเทศไทย : แม้ปี 2020 หลายบริษัทไทยเร่งประกาศซื้อหุ้นคืนหลังตลาดทรุด แต่ดัชนีรวม SET Index ยังปรับลงประมาณ -8.3% ตลอดปี 2020 เนื่องจากปัจจัยลบพื้นฐาน (เศรษฐกิจหดตัวจากล็อกดาวน์). อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ว่าการซื้อหุ้นคืนช่วย จำกัดความผันผวน และพยุงราคาหุ้นบางตัวไม่ให้ตกลงมากเกินไปในช่วงวิกฤต. พอถึงปี 2021 ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวแข็งแกร่ง (+14.4% ตลอดปี) จากการเปิดเศรษฐกิจและแรงซื้อกลับ แต่ช่วงนั้นกลับไม่ค่อยมีโครงการ buyback ใหม่มากนัก (เพราะราคาหุ้นเริ่มสูงขึ้นจนไม่จูงใจและบริษัทต้องใช้เงินลงทุนกลับมาดำเนินธุรกิจ). นั่นสื่อว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและกระแสเงินทุนมีน้ำหนักต่อ SET Index มากกว่าการทำ buyback ในช่วงที่ผ่านมา. 

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ตลาดอ่อนแอ (เช่น ปี 2022–2023 ที่ SET ปรับลง/ทรงตัว), เริ่มเห็นความสนใจที่จะใช้การซื้อหุ้นคืนมากขึ้น (เช่น ปี 2023 ตลาด -15% แต่หลายบริษัทโดยเฉพาะที่ P/B ต่ำ เริ่มพิจารณาซื้อหุ้นคืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น) ซึ่งอาจช่วยหนุนราคาหุ้นรายตัวและ sentiment โดยรวมได้บ้าง แม้ยังไม่ยกระดับดัชนีอย่างชัดเจน.

• ประเทศญี่ปุ่น : กรณีญี่ปุ่นแสดงความสัมพันธ์เชิงบวกที่เด่นชัดในปีล่าสุด เมื่อ การทำหุ้นคืนสูงเป็นประวัติการณ์ไปพร้อมกับตลาดกระทิง. หลังโควิดใหม่ๆ ปี 2020 ญี่ปุ่นซื้อหุ้นคืนลดลง (4.8 ล้านล้านเยน) แต่ ดัชนี Nikkei 225 ยังสามารถปิดปี +16.0% ได้จากแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ . ปี 2021 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นทรงตัวบวกเล็กน้อย (+4.9%) แม้การซื้อหุ้นคืนเริ่มเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าปัจจัยอื่น (เช่น เงินเฟ้อ, นโยบาย BOJ) มีบทบาทกว่า. อย่างไรก็ดี ปี 2022 แม้บริษัทญี่ปุ่นซื้อหุ้นคืนรวมสูงเกือบ 10 ล้านล้านเยน (สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น) แต่ Nikkei 225 กลับติดลบประมาณ -9.4% เพราะแรงกดดันจากภายนอก (เฟดขึ้นดอกเบี้ย, สงครามยูเครน) ฉุดบรรยากาศลงทุนทั่วโลก. 

พอมาถึง ปี 2023 สถานการณ์เปลี่ยนไป : บริษัทญี่ปุ่นเดินหน้าซื้อหุ้นคืนต่อเนื่องทำสถิติใหม่อีกครั้ง และตลาดหุ้นญี่ปุ่นทะยานขึ้นอย่างมาก – Nikkei 225 พุ่ง +28.2% ตลอดปี 2023 ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของโลกปีนั้น. นักวิเคราะห์ชี้ว่าการที่หลายบริษัทประกาศ buyback ครั้งใหญ่ในปี 2023 (เช่น Honda, Mitsubishi Corp., Toyota ฯลฯ) ส่งสัญญาณเชิงบวกให้นักลงทุน, ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติกลับเข้าตลาดญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ . ดังนั้นในญี่ปุ่น ปีที่มี buyback สูง โดยเฉพาะล่าสุด มักจะ สอดคล้องกับปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดี, เพราะสะท้อนถึงทั้งผลประกอบการที่แข็งแกร่ง (มีกระแสเงินสดเหลือให้ซื้อคืน) และความตั้งใจเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นที่สร้างความเชื่อมั่น (เป็นวงจร “upward spiral” ที่ดึงเงินลงทุนเข้ามา) . อย่างไรก็ตาม ปี 2022 ก็เตือนว่า buyback เพียงอย่างเดียวไม่อาจต้านปัจจัยลบภายนอกได้ หากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทชะลอตัว.

• ประเทศเกาหลีใต้ : ตลาดหุ้นเกาหลีแสดงให้เห็นว่าการซื้อหุ้นคืนจำนวนมากอาจช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนในยามวิกฤตได้ระดับหนึ่ง. หลังหุ้นเกาหลีดิ่งแรงต้นปี 2020 รัฐบาลผ่อนคลายกฎและบริษัทกว่า 500 แห่งเข้าซื้อหุ้นตัวเอง ส่งผลให้ KOSPI Index ดีดตัวแรงจนปิดปี +30.8% (สูงสุดในรอบทศวรรษ) . แม้แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากนักลงทุนรายย่อยเกาหลี (ปรากฏการณ์ “Donghak”) และฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีโลก แต่การที่ผู้บริหารบริษัทส่งสัญญาณเชื่อมั่นด้วยการซื้อหุ้นคืนก็มีส่วน หนุนการฟื้นตัวของตลาดในปี 2020 เช่นกัน. แต่ในทางกลับกัน ปี 2022 แม้หลายบริษัทเกาหลีเริ่มทำ buyback มากขึ้น (มูลค่าราว 8.2 ล้านล้านวอนในช่วงปีนั้น ) 

ตลาดหุ้นเกาหลีกลับปรับฐานหนักตามตลาดโลก โดย KOSPI ร่วงลงถึง -24.9% ในปี 2022 – แสดงว่าปัจจัยเชิงมหภาค (ดอกเบี้ยขาขึ้น, เศรษฐกิจจีนชะลอ) มีน้ำหนักมากกว่าผลบวกจากนโยบายผู้ถือหุ้น. มาถึง ปี 2023 และ 2024, เกาหลีใต้เดินหน้าส่งเสริมซื้อหุ้นคืนอย่างจริงจัง (มูลค่าซื้อคืนเพิ่มขึ้นกว่า 70% ปี 2024 ดังกล่าว) ก็พบว่า ดัชนี KOSPI ในปี 2023 ปรับตัวบวก ~18.7% ฟื้นตัวตามตลาดโลก ส่วนปี 2024 ยังผันผวนเล็กน้อย. โดยรวมสำหรับเกาหลี การซื้อหุ้นคืนจำนวนมากมักเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำ (เช่น 2020, 2023) ซึ่งก็เป็นช่วงที่ตลาดเด้งกลับแรงอยู่แล้ว – จึงอาจกล่าวได้ว่าบริษัทใช้ buyback เป็น เครื่องมือช่วยเร่งการฟื้นตัว ยามหุ้นโดนเทขายหนัก และในช่วงตลาดขาขึ้นตามวัฏจักรปกติ การทำ buyback อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ผลักดันดัชนี แต่มีบทบาทช่วยค้ำราคาหุ้นรายตัวและเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้นมากกว่า.

• สหรัฐอเมริกา : ในสหรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่าง buybacks กับดัชนีตลาดมีลักษณะผสมผสาน ขึ้นอยู่กับภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจ. หลังโควิด บริษัทอเมริกันเร่งซื้อหุ้นคืนจนทำสถิติใหม่ในปี 2021 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานแรง: S&P 500 ให้ผลตอบแทนรวม ~+28.7% ในปี 2021 สวนทางกับปี 2020 ที่ buyback ต่ำ (เพราะโควิด) แต่ดัชนียังบวกได้ ~18% จากแรงหนุนมาตรการการเงินการคลัง . ปี 2021 จึงเป็นกรณีที่ การทำหุ้นคืนจำนวนมากสอดคล้องกับผลตอบแทนตลาดที่ดี – บริษัทมีเงินสดล้นจากกำไรที่ฟื้นหลังวิกฤตและใช้ซื้อหุ้นคืน หนุน EPS สูงขึ้น ซึ่งตลาดก็ตอบรับด้วยการดันราคาขึ้นต่อเนื่อง. แต่ปี 2022 แสดงภาพตรงข้าม: แม้ มูลค่า buybacks ของ S&P 500 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (กว่า 9.22 แสนล้านดอลลาร์) ดัชนี S&P 500 กลับปรับตัวลงประมาณ -18.1% ตลอดปี 2022 เนื่องจากนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อและเฟดขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ valuation หุ้นโดยรวมถูกปรับลด. 

กรณีนี้ชี้ว่าแม้การซื้อหุ้นคืนจะช่วยพยุงราคาหุ้นรายตัว (โดยเฉพาะหุ้น Big Cap อย่าง Apple, Microsoft ที่ซื้อคืนมหาศาลจนหุ้นปรับลงน้อยกว่าตลาด) แต่ก็ ไม่เพียงพอจะพลิกแนวโน้มตลาดขาลง ที่เกิดจากปัจจัยมหภาค. ต่อมาใน ปี 2023, แม้บริษัทสหรัฐบางแห่งชะลอ buyback เล็กน้อยเพราะภาษี 1% และต้องการถือเงินสดเผื่อเศรษฐกิจชะลอ แต่ก็ยังมีการซื้อคืนในระดับสูง (ประมาณ 3.75–4.00 แสนล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสในช่วงครึ่งแรกของปี 2023) ซึ่งผนวกกับการที่เฟดใกล้สิ้นสุดวงจรขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ S&P 500 ฟื้นตัว +26.3% ในปี 2023 . จะเห็นได้ว่าที่สหรัฐฯ buyback เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เสริมภาวะตลาดกระทิง (เช่น 2021, 2023) แต่ในยามตลาดหมี (เช่น 2022) แม้ buyback จะสูงเป็นประวัติการณ์ ราคาหุ้นก็ยังขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานและบรรยากาศการลงทุนโดยรวมมากกว่า


ที่มา: KAsset Investment Strategy บลจ.กสิกรไทย 

ข้อมูล ณ วันที่ 20 มีนาคม 2025​


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
มองหุ้นไทยในมุมใหม่ ตอนที่ 1 >>อ่านต่อ​ 
ครม.ไฟเขียวตั้งกองทุน TESGX >>อ่านต่อ
วางแผนอย่างไร? เมื่อ LTF ครบอายุ >>อ่านต่อ​​

คำเตือน ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังด้วยวิจารณญาณและรับผิดชอบในความเสี่ยงด้วยตนเอง / ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน​

Yes
3/21/2025
0
situation